ผู้ที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ hiv ก่อนที่เชื้อจะพัฒนาเข้าสู่โรคเอดส์ สามารถรักษาได้แล้ว
























 








     
 




"โรคติดเชื้อ hiv รักษาได้ แต่ผู้ป่วยต้องกินยาให้ครบ"

ปัจจุบันความรู้เรื่องโรคเอดส์ได้ก้าวหน้าขึ้นในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีโรคใดที่นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จะให้ความสนใจค้นคว้ามากเท่ากับโรคเอดส์

จากยา AZT ยาที่ใช้ต้านไวรัสเอชไอวีตัวแรกที่ผลิตออกมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีถูกผลิตออกมามากกว่า 20 ชนิด และกำลังจะมียาใหม่ ๆ ออกมาอีกหลายชนิดในไม่ช้านี้

การใช้ยาต้านไวรัส 3 ตัวพร้อมกัน จะสามารถทำลายเชื้อเอชไอวีได้อย่างรวดเร็วจากจำนวนหมื่นล้านตัวในเลือดลดลงมาเหลือหมื่นตัวในระยะเวลา 2-3 เดือน และสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีในเลือดได้ทั้งหมดในเวลา 6 เดือน

เมื่อเชื้อเอชไอวีลดลง จำนวนเม็ดเลือดขาวก็จะสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้ภูมิต้านทานของผู้ป่วยดีขึ้น น้ำหนักขึ้น ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม สามารถกลับไปประกอบอาชีพ และใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ

ข้อมูลจากโรงพยาบาลบำราศนราดูรพบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ติดเชื้อโรคฉวยโอกาสร่วมด้วย เช่น วัณโรค เมื่อได้รับยาต้านไวรัส 3 ขนาน และยาฆ่าเชื้อโรคฉวยโอกาส สามารถกลับมามีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตที่ยืนยาวได้ ต่างจากสมัยที่ไม่มีการใช้ยาต้านไวรัส ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าร้อยละ 90 จะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ปี

ปัจจุบันผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่จำเป็นต้องนอนรอความตายเพียงอย่างเดียว การรักษาโรคเอดส์แม้จะไม่หายขาด แต่ก็สามารถรักษาได้ไม่ต่างจากโรคเรื้อรังอื่น ๆ

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แม้จะไม่หายขาดก็ตาม ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องไม่ท้อแท้และสิ้นหวัง เพราะเข้าใจผิดว่าเมื่อป่วยเป็นโรคนี้ต้องตายอย่างเดียว ปัจจุบันโครงการบัตรทองหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและประกันสังคม สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสสูตรมาตรฐานได้ทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ติดเชื้อไม่ควรหลงเชื่อเรื่องการรักษาแปลก ๆ ที่ไม่ใช่วิธีมาตรฐาน หรือการรักษาด้วยยาสมุนไพรและยา อื่น ๆ ที่ไม่เคยผ่านการทดลองหรือพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ทางที่ดีที่สุดเมื่อ รู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์ที่ผ่านการอบรมการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม คนที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ เพราะเชื้อเอชไอวีจะแอบหลบซ่อนในสมอง ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ตับ ไต เมื่อไรที่หยุดกินยา เชื้อก็จะแบ่งตัวแล้วทำให้ตรวจพบในเลือดอีก ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเอดส์จึงจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

ปัญหาสำคัญที่พบก็คือ การกินยาไม่ต่อเนื่อง กิน ๆ หยุด ๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดการดื้อยา ทำให้แพทย์ต้องปรับเปลี่ยนสูตรยาจากสูตรยาพื้นฐานเดือนละประมาณพันกว่าบาทต่อเดือน ไปเป็นเดือนละหลายหมื่นไปจนถึงหลายแสนบาท

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวีดื้อยา สามารถแพร่เชื้อนี้ให้แก่ผู้อื่นต่อไปได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ เชื้อเอชไอวีดื้อยาก็จะกลายมาเป็นปัญหาที่สำคัญของการรักษาโรคเอดส์ในประเทศไทย หากผู้ป่วยโรคเอดส์กินยาไม่สม่ำเสมอแล้วแพร่เชื้อดื้อยาให้แก่คนอื่นในสังคม

ดังนั้นผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงจำเป็นที่จะต้องกินยาให้ครบทุกวัน และไม่แพร่เชื้อของตนเองให้กับผู้อื่น

แม้การทำ CL ยา จะช่วยให้ประเทศไทยมียาต้านไวรัสใหม่ ๆ ในราคาถูก ๆ มาใช้ในประเทศ แต่ถ้าผู้ติดเชื้อยัง คงมีพฤติกรรมการกินยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาจนเกิดการขาดยาที่จะใช้รักษาได้อีก

ดังนั้นการทำ CL ยา จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษาโรคเอดส์ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาโรคเอดส์ก็คือ การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ เอชไอวีด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศ ไม่สำส่อน ไม่เที่ยวผู้หญิง ไม่ใช้ยาเสพติด ต้องรู้จักการใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

หากเราไม่ช่วยกันป้องกันโรคเอดส์วันนี้ จำนวนคนที่ติดเชื้อเอชไอวีทั้งชนิดดื้อยาและไม่ดื้อยาก็จะเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม










"โรคเอดส์รักษาได้ แต่ผู้ป่วยต้องกินยาให้ครบ"

ปัจจุบันความรู้เรื่องโรคเอดส์ได้ก้าวหน้าขึ้นในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีโรคใดที่นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จะให้ความสนใจค้นคว้ามากเท่ากับโรคเอดส์

จากยา AZT ยาที่ใช้ต้านไวรัสเอชไอวีตัวแรกที่ผลิตออกมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีถูกผลิตออกมามากกว่า 20 ชนิด และกำลังจะมียาใหม่ ๆ ออกมาอีกหลายชนิดในไม่ช้านี้

การใช้ยาต้านไวรัส 3 ตัวพร้อมกัน จะสามารถทำลายเชื้อเอชไอวีได้อย่างรวดเร็วจากจำนวนหมื่นล้านตัวในเลือดลดลงมาเหลือหมื่นตัวในระยะเวลา 2-3 เดือน และสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีในเลือดได้ทั้งหมดในเวลา 6 เดือน

เมื่อเชื้อเอชไอวีลดลง จำนวนเม็ดเลือดขาวก็จะสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้ภูมิต้านทานของผู้ป่วยดีขึ้น น้ำหนักขึ้น ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม สามารถกลับไปประกอบอาชีพ และใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ

ข้อมูลจากโรงพยาบาลบำราศนราดูรพบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ติดเชื้อโรคฉวยโอกาสร่วมด้วย เช่น วัณโรค เมื่อได้รับยาต้านไวรัส 3 ขนาน และยาฆ่าเชื้อโรคฉวยโอกาส สามารถกลับมามีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตที่ยืนยาวได้ ต่างจากสมัยที่ไม่มีการใช้ยาต้านไวรัส ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าร้อยละ 90 จะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ปี

ปัจจุบันผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่จำเป็นต้องนอนรอความตายเพียงอย่างเดียว การรักษาโรคเอดส์แม้จะไม่หายขาด แต่ก็สามารถรักษาได้ไม่ต่างจากโรคเรื้อรังอื่น ๆ

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แม้จะไม่หายขาดก็ตาม ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องไม่ท้อแท้และสิ้นหวัง เพราะเข้าใจผิดว่าเมื่อป่วยเป็นโรคนี้ต้องตายอย่างเดียว ปัจจุบันโครงการบัตรทองหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและประกันสังคม สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสสูตรมาตรฐานได้ทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ติดเชื้อไม่ควรหลงเชื่อเรื่องการรักษาแปลก ๆ ที่ไม่ใช่วิธีมาตรฐาน หรือการรักษาด้วยยาสมุนไพรและยา อื่น ๆ ที่ไม่เคยผ่านการทดลองหรือพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ทางที่ดีที่สุดเมื่อ รู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์ที่ผ่านการอบรมการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม คนที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ เพราะเชื้อเอชไอวีจะแอบหลบซ่อนในสมอง ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ตับ ไต เมื่อไรที่หยุดกินยา เชื้อก็จะแบ่งตัวแล้วทำให้ตรวจพบในเลือดอีก ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเอดส์จึงจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

ปัญหาสำคัญที่พบก็คือ การกินยาไม่ต่อเนื่อง กิน ๆ หยุด ๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดการดื้อยา ทำให้แพทย์ต้องปรับเปลี่ยนสูตรยาจากสูตรยาพื้นฐานเดือนละประมาณพันกว่าบาทต่อเดือน ไปเป็นเดือนละหลายหมื่นไปจนถึงหลายแสนบาท

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวีดื้อยา สามารถแพร่เชื้อนี้ให้แก่ผู้อื่นต่อไปได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ เชื้อเอชไอวีดื้อยาก็จะกลายมาเป็นปัญหาที่สำคัญของการรักษาโรคเอดส์ในประเทศไทย หากผู้ป่วยโรคเอดส์กินยาไม่สม่ำเสมอแล้วแพร่เชื้อดื้อยาให้แก่คนอื่นในสังคม

ดังนั้นผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงจำเป็นที่จะต้องกินยาให้ครบทุกวัน และไม่แพร่เชื้อของตนเองให้กับผู้อื่น

แม้การทำ CL ยา จะช่วยให้ประเทศไทยมียาต้านไวรัสใหม่ ๆ ในราคาถูก ๆ มาใช้ในประเทศ แต่ถ้าผู้ติดเชื้อยัง คงมีพฤติกรรมการกินยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาจนเกิดการขาดยาที่จะใช้รักษาได้อีก

ดังนั้นการทำ CL ยา จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษาโรคเอดส์ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาโรคเอดส์ก็คือ การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ เอชไอวีด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศ ไม่สำส่อน ไม่เที่ยวผู้หญิง ไม่ใช้ยาเสพติด ต้องรู้จักการใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

หากเราไม่ช่วยกันป้องกันโรคเอดส์วันนี้ จำนวนคนที่ติดเชื้อเอชไอวีทั้งชนิดดื้อยาและไม่ดื้อยาก็จะเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์