อนุทิน เดือดเคส ปู่ย่าหลาน ติดโควิด-19 แต่ยังสกัดทัน!!

จากกรณีพบผู้ป่วยเพิ่ม 3 ราย ซึ่งเกิดจากปู่ ย่า ไปเที่ยวฮอกไกโด กลับมาป่วยและติดหลาน ทำให้มีการจัดระบบเฝ้าระวังทั้งโรงเรียนของหลาน ที่ทำงานของคนในครอบครัวนั้น

เมื่อวันที่ 26 ก.พ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ยืนยันว่า

ประเทศไทยแม้มีกรณี 3 รายนี้ก็ยังอยู่ในการแพร่ระบาดระยะ 2 ไม่มีผู้ป่วยซูเปอร์สเปรดเดอร์ ซึ่งคล้ายผู้ป่วยครอบครัวจีนที่เข้ามาแล้วทยอยป่วยทีละคน เพราะเรารู้ว่าผู้ป่วยเหล่านี้เป็นเคสมีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ และรู้ว่าติดต่ออย่างไร ทำให้การติดตามดูแลได้ดีขึ้น กรณีดังกล่าวเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเมื่อกลับมาจากประเทศหรือพื้นที่เสี่ยงถึงจะต้องแยกตัวเอง ลดการสุงสิงกับคนใสนครอบครัว เพราะมีโอกาสติดเชื้อต่อกันได้ ควรแยกสำรับ กินร้อนช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ เฝ้าระวังตนเอง 14 วัน หากมีอาการให้รีบพบแพทย์ และแจ้งปะวัติการเดินทาง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า

อย่างกรณีผู้ป่วยโควิด-19 ที่ รพ.บี.แคร์ ต้องตำหนิ เพราะไม่ยอมทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำเอาไว้ เมื่อเดินทางกลับมามีไข้ยังไปติดต่อกับคนในบ้าน และยังสัญจรไปมา ซึ่งถ้าเราไม่เจอก่อน ก็มีโอกาสเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ได้เลย

อนุทิน เดือดเคส ปู่ย่าหลาน ติดโควิด-19 แต่ยังสกัดทัน!!

อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันว่า ควบคุมได้ไม่มีอะไรเกินเหตุ เรามีประวัติผู้สัมผัสหมดแล้ว รวมถึงลูกเรือที่กลับมา ผู้โดยสารในเครื่อง กรมควบคุมโรคติดต่อไปขอตรวจทุกคนว่ามีอาการเช่นไร

เมื่อถามว่าเหตุใดเคสนี้จึงยังไม่เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ 

นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ค่าเฉลี่ยของการแพร่โรคนี้จากผู้ป่วย 1 คน อยู่ที่ 2 คนกว่าๆ ส่วนซูเปอร์สเปรดเดอร์ คือ คนหนึ่งคนแพร่โรคได้มากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า เช่น 10-20 คน แต่จากการสอบสวนโรคตอนนี้ผู้ป่วยรายนี้ทำให้คนรอบตัวติดเชื้อ 1 คน เพราะอีกรายที่เป็นภรรยาน่าจะติดจากญี่ปุ่นด้วยกัน จึงยังไม่ถึงซูเปอร์สเปรดเดอร์ แต่เคสนี้ค่อนข้างยากลำบากตรงที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก แต่ไม่ได้บอกว่าคนสัมผัสมากแล้วจะเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ การมีผู้สัมผัสมากต้องดูว่าสัมผัสมากน้อยแค่ไหน ก็จะตามให้ได้ 14 วันว่าติดเชื้อหรือไม่ต่อไป

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า

 สำหรับการติดตามผู้สัมผัสในโรงเรียนที่หลานไปเรียนนั้น ได้ประสานกับโรงเรียนแล้ว ซึ่งพบว่า เด็กที่ป่วยได้อยู่ห้องเรียนห้องเดียว ดังนั้น ผู้ปกครองและครู จึงตัดสินใจให้เด็กในห้องนั้นที่มีประมาณ 50 คน หยุดเรียน 14 วันและสังเกตอาการดู เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อ ซึ่งเรามีรายชื่อทั้งหมดก็จะติดตามจนครบ 14 วัน สิ่งสำคัญคือหยุดแล้วต้องอยู่บ้าน อย่าไปเที่ยวเล่นที่อื่น

เมื่อถามว่ากรณีปู่ที่ป่วยโควิด-19 ช่วงแรกมีการปกปิดประวัติไปต่างประเทศ แบบนี้จะผิดตามประกาศโรคติดต่ออันตรายหรือไม่ 

นายอนุทิน กล่าวว่า
 เขาไม่บอก ไม่ได้แจ้งวันแรก แต่มาแจ้งวันหลัง ไม่ได้ปกปิด กรณีอย่างนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการสื่อสารที่ดีระหว่างรพ.กับศูนย์ฉุกเฉินของเรา ซึ่ง รพ.เมื่อทราบก็แถลงทันที แจ้งมาที่กรมควบคุมโรค เราถึงเข้าไปดำเนินการทันที ส่วนการเอาผิดเดี๋ยวว่ากันให้หายก่อน

อนุทิน เดือดเคส ปู่ย่าหลาน ติดโควิด-19 แต่ยังสกัดทัน!!

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า เคสแบบนี้เราก็เตือนเป็นระยะๆ แล้วว่า หากไม่จำเป็นให้เลื่อนการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ถ้ากลับมาใน 14 วันมีอาการ ตอนไปรพ.จะต้องรีบแจ้งประวัติตั้งแต่แรก การปกปิดประวัติไม่มีประโยชน์ คนเดือดร้อนจำนวนมาก และช่วงระหว่างดูอาการ เราควรจำกัดคนที่มาสัมผัสกับเราด้วย ถ้าดูกรณีนี้ปู่ทำให้หลานป่วย 

ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้เราเป็นต้นเหตุให้คนที่เรารักป่วย เมื่อเฝ้าระวังต้องไม่ไปสัมผัสกับคนอื่น ย้ำเตือนอีกครั้งว่า การปฏิบัติตัว ความร่วมมือของประชาชนทุกคนสำคัญมากว่า เราจะรอดหรือจะจัดการการระบาดได้หรือไม่ สำหรับประเทศที่มีการระบาดภายใน คือ จีน (ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อิตาลี และอิหร่าน และอาจมีการประกาศเพิ่มอีก ซึ่งตอนนี้จับตาสหรัฐอเมริกา เพราะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

อนุทิน เดือดเคส ปู่ย่าหลาน ติดโควิด-19 แต่ยังสกัดทัน!!

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
คุณ : me
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 203.151.136.238

203.151.136.238,,238.136.151.203.sta.inet.co.th ความคิดเห็นที่ 3 [อ้างอิง]
wellcome


[ วันอาทิตย์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11:16 น. ]
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์