เปิดขุมทรัพย์ตะวันนาศึกชิงอาณาจักรเทปผีซีดีเถื่อน

เปิดขุมทรัพย์ตะวันนา

คนมีสีแบ่งเค้กลงตัว กอบโกยผลประโยชน์นับสิบล้านต่อเดือน แถมเรียกเก็บค่าหัวคิวผู้ค้าจากภายนอกอีกอื้อซ่าหัวละ 500 บาทต่อวัน
ความตายของ"สุเทพ ครุธโปร่ง" ผู้ค้าซีดีศูนย์การค้าตะวันนา วัย 39 ปี แม้จะไม่ช่วยให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ค้าซีดีในแหล่งอุดมทรัพย์แห่งนี้คลี่คลายลงไปได้ ทว่าก็ช่วยทำให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่มีอยู่มหาศาลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้เห็นถึงผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังฉากตัวจริง ที่กอบโกยรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งอาจจะถึงเดือนละ 10 ล้านบาทด้วยซ้ำไป !


2 ทุ่มครึ่ง 26 สิงหาคม 

สุเทพ พร้อมด้วย โยธิน ครุธโปร่ง พี่ชาย วัย 40 ปี และเสรี สิงหาทอ อายุ 19 ปี มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของ "โสภณ ทองใส" หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า "เสือ" วัย 34 ปี กับ "วุฒิชัย ขวัญแก้ว" วัย 26 ปี บริเวณหน้าอาคารคอมพิวเตอร์เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าตะวันนา ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.

ระหว่างชุลมุนมีเสียงปืนดังขึ้น2-3 นัด

 กระสุนเข้าเอวขวาและกกหูขวาของโยธิน จนล้มฟุบกองกับพื้น ส่วนสุเทพโชคร้ายกว่า เมื่อกระสุนเข้าสีข้างซ้ายตัดขั้วหัวใจเสียชีวิตทันที ส่วนเสรี เด็กหนุ่มวัย 19 ถูกแทงได้รับบาดเจ็บสาหัส 


หลังเกิดเหตุพ.ต.ท.เอกสฤษดิ์ วิโรจน์ยุติ รอง ผกก.สส.สน.ลาดพร้าว พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ยุทธภัณฑ์ศิริกุล สว.สส.สน.ลาดพร้าว พร้อมชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ และขอภาพวงจรปิดของศูนย์การค้าตะวันนามาประกอบการสืบสวนหาตัวคนร้าย 
ภาพจากกล้องวิดีโอวงจรปิดแสดงให้เห็นว่ากลุ่มของผู้ตายและผู้บาดเจ็บตรงเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม ด้วยท่าทางขึงขัง ไม่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรแม้แต่น้อย จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับถอยร่นไป และหนึ่งในนั้นได้ชักอาวุธปืนออกมา ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้นติดต่อกัน


ชุดสืบสวนพยายามดูภาพวิดีโอวงจรปิดในแง่มุมต่างๆกระทั่งเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สอบถามจนได้ความว่า 

เป็นวุฒิชัย วัย 26 ปี ผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่โยธินก่อน แล้วจึงหันปากกระบอกปืนยิงใส่สุเทพภายหลัง จากนั้นได้แยกย้ายกันหลบหนีไป 

ผ่านไป1 วัน 11 โมงเช้า 27 สิงหาคม 

โสภณติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจ สน.ลาดพร้าว พร้อมกับให้การปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุวิวาทครั้งนี้ และยืนยันว่า คนที่ยื่นปืนให้มือปืนเป็นลูกน้องของเขา ไม่ใช่ตัวเขาอย่างที่พยานให้การ แต่กระนั้นพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 
ชนวนเหตุการนองเลือดครั้งนี้พล.ต.ต.วิทยาโกสิยะสถิต ผบก.น.4 เชื่อแน่ว่า เกิดจากการขัดผลประโยชน์การค้าบริเวณศูนย์การค้าตะวันนา !


ก่อนหน้านี้รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เริ่มตระหนักถึงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และให้ความสำคัญการป้องกันปราบปราม พร้อมทั้งขึ้นบัญชีสถานที่จำหน่ายเทปผีซีดีเถื่อนหลายแห่งใน กทม.และต่างจังหวัด หนึ่งในนั้นปรากฏชื่อศูนย์การค้าตะวันนารวมอยู่ด้วย


ด้านผู้บริหารศูนย์การค้าตะวันนาเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ด้วยการผลักดันกลุ่มผู้ค้าที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออกนอกพื้นที่ศูนย์การค้า แต่ดูเหมือนเครือข่ายซีดีละเมิดลิขสิทธิ์จะเติบโตและขยายใหญ่ กลายเป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งมาก จนยากจะแก้ไขให้สำเร็จได้ภายในเร็ววัน 


ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ค้าซีดีละเมิดสิขสิทธิ์เองก็แบ่งเป็นฝักฝ่าย 

และมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องของผลประโยชน์ ที่มีอยู่มากมายมหาศาล จนอาจเรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์บนดินแห่งหนึ่งก็ว่าได้


เมื่อเป็นขุมทรัพย์จึงมีผู้เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่แห่งนี้ 

เริ่มตั้งแต่เปิดกิจการใหม่ๆ คนสีเขียวที่มากด้วยบารมีตบเท้าเข้ามาบุกเบิก โดยนำกลุ่มผู้ค้าซีดีและเครื่องคอมพิวเตอร์จากห้างพันธุ์ทิพย์ พลาซา มาลงทุนทำธุรกิจ แม้ช่วงแรกๆ กิจการจะไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่นานเมื่อชื่อเริ่มติดตลาด จากที่ไม่เคยมีใครสนใจก็กลับมีราคาค่างวดเพิ่มมากขึ้น กระทั่งปัจจุบันค่าเช่าแผงตกเดือนละ 1-2.5 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับทำเลและขนาด นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าเช่ารายวันอีกวันละ 200 บาท
ถึงแม้จะมีกลุ่มผู้ค้าละเมิดลิขสิทธิ์มากมายกระจายอยู่นอกพื้นที่ศูนย์การค้าตะวันนาทว่ามีเพียง 2 กลุ่มใหญ่เท่านั้นที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แบ่งเป็นกลุ่มลูกน้องของคนสีเขียวในฐานะผู้บุกเบิก กับกลุ่มลูกน้องของคนสีกากี ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตะวันนายุคกลาง หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ยุคที่สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เฟื่องฟูนั่นเอง 


อดีตผู้ค้าซีดีละเมิดลิขสิทธิ์บริเวณศูนย์การค้าตะวันนาให้ข้อมูลว่า

กลุ่มลูกน้องคนสีเขียวผลิตซีดีจากต้นทุนแผ่นละ 7 บาท นำไปขายราคามีตั้งแต่หลักสิบไปจนหลักร้อยบาท ส่วนลูกน้องคนสีกากีก็ไม่น้อยหน้า ลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องมาไรท์แผ่นและทำปก โดยนำวัตถุดิบมาจากชายแดนไทย-กัมพูชา 
"การค้าซีดีละเมิดลิขสิทธิ์เป็นธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาล กำไรเป็นสิบเท่าตัว ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละเดือนทั้งสองกลุ่มนี้มีรายได้เบาะๆ เป็นเงิน 7 หลักไปจนถึง 8 หลัก หรือนับสิบล้านบาทก็ว่าได้ !?!" 

นอกจากรายได้ที่มาจากการขายซีดีละเมิดลิขสิทธิ์แล้วรายได้ส่วนหนึ่งยังมาจากการเรียกเก็บจากกลุ่มผู้ค้ารายย่อยที่ต้องการเข้าไปขายซีดีในบริเวณศูนย์การค้าตะวันนาด้วย 


"ค่าเครื่องบิน" คือคำเรียกขานเงินเรียกเก็บจากผู้ค้ารายย่อย

ที่ลูกน้องของคนสองสีใช้แทน เมื่อพูดถึงเงินรายหัว หัวละ 500 บาทต่อวัน 

กระทั่งช่วง7-8 ปี ที่ผ่านมา ภาครัฐให้ความสนใจปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น ทำให้ผู้ค้าทั้งสองกลุ่มปรับเปลี่ยนวิธีมาเป็นการกระจายสินค้าให้กองทัพมดเร่ขายแทน แต่ก็ยังมีขายบนแผงอยู่เช่นกัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา การกระทบกระทั่งจึงเริ่มมีบ่อยครั้งขึ้น แต่จนแล้วจนรอดนายผู้อยู่หลังฉากก็มักจะประนีประนอมอะลุ้มอล่วยกัน ด้วยเห็นว่าต่างคนต่างทำมาหากิน ไม่อยากขัดแข้งขัดขาจนธุรกิจต้องหยุดชะงัก


แต่แล้วความขัดแย้งก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น

ถึงแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้มงวดกวดขันเท่าไร ก็ไม่อาจกวาดล้างให้หมดไปได้ ว่ากันว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะน้ำเลี้ยงที่ต่อท่อไปถึงผู้มีอำนาจบางหน่วยงานสูงถึง 5 หมื่นบาทต่อเดือน แลกกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ 


รู้แล้วให้เห็นใจศิลปินปลูกพืชแล้วไม่ได้กินผล !


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์