หนูน้อยสมองตาย บริจาคไต สำลักนมเป็นเจ้าชายนิทรา

หนูน้อยวัย 25 วัน สมองตาย

กลายเป็นเจ้าชายนิทรา พ่อแม่ตัดใจบริจาคไตลูกน้อยให้ผู้ป่วยที่รอรับการผ่าตัดรายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18 สิงหาคม นพ.วีระพล ธีระพันธ์เจริญ ผู้อำนวยการ รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา กล่าวถึงเรื่องที่ทางโรงพยาบาลกำลังจะเปิด “ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา สภากาชาดไทย” อย่างเป็นทางการเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาในปี 50 นี้ และจะเป็นศูนย์ประสานงานด้านข้อมูลและการเตรียมพร้อมการบริจาคอวัยวะให้แก่สภากาชาดไทย โดยมอบหมายให้ นพ.วรนพ วรรณวิจิตร แพทย์ รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา เป็นหัวหน้าศูนย์ ซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศมีผู้ป่วยรอรับการเปลี่ยนอวัยวะจำนวนมาก


ผอ.รพ.พระนครศรีอยุธยากล่าวต่อว่า

ถึงแม้จะยังไม่กำหนดวันเปิดศูนย์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แต่ ขณะนี้มีผู้ป่วยสมองตายอยู่ในการดูแลรักษาของ รพ.ศูนย์ พระนครศรีอยุธยา ซึ่งพร้อมที่จะส่งไตเพื่อไปผ่าตัดเปลี่ยนไตให้ผู้ที่รอรับการผ่าตัดเปลี่ยนไต ที่ได้ขึ้นทะเบียนรอรับการบริจาคอวัยวะอย่างถูกต้องจากสภากาชาดไทย ซึ่งถือเป็นผู้บริจาคอวัยวะรายแรกของ จ.พระนครศรีอยุธยา และรายแรกของศูนย์รับบริจาคอวัยวะ รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา สภากาชาดไทย ด้วยเช่นกัน คือ ด.ช.ภัทรพันธ์ โสพันธ์ หรือน้องเก้า อายุ 25 วัน นอนรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยหนัก เชื่อว่าในอนาคตพี่น้องชาว จ.พระนครศรีอยุธยา จะหันมาบริจาคอวัยวะจำนวนมากขึ้นเพื่อต่อชีวิตให้แก่คนที่ต้องการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ถือเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ของชีวิต


จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เข้าไปที่ห้องผู้ป่วยหนัก รพ. ศูนย์พระนครศรีอยุธยา

พบ ด.ช.ภัทรพันธ์ โสพันธ์ หรือน้องเก้า นอนสงบนิ่งเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงคนไข้ โดยใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิตตลอดเวลา มีนายถาวร โสพันธ์ อายุ 35 ปี เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางประไพพิศ โสพันธ์ อายุ 30 ปี พยาบาลวิชาชีพศัลยกรรม รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา พ่อแม่หนูน้อยเคราะห์ร้าย อยู่แฟลตเรือนจำจังหวัดพระ นครศรีอยุธยา เลขที่ 123 หมู่ 3 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา และญาติจำนวนหนึ่งเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดด้วยสีหน้าเศร้าสลด


นางประไพพิศ โสพันธ์ แม่น้องเก้า เปิดเผยว่า

ตนและสามีมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นหญิง อายุ 2 ขวบ ส่วนน้องเก้าเป็นลูกคนเล็ก เกิดเมื่อเวลา 10.24 น.วันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา น้ำหนักประมาณ 2,900 กรัม ช่วงคลอดน้องเก้าเกิดภาวะสำลักน้ำคร่ำจนเกือบจะเสียชีวิต แต่แพทย์ได้ช่วยเหลือชีวิตเอาไว้ได้ และจนกระทั่งเวลาผ่านไป 7 วัน อาการดีขึ้นจึงนำกลับไปดูแลที่บ้าน กระทั่งเช้าวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ตนให้นม น้องเก้า พบว่าน้องเก้านอนนิ่งไม่ไหวติง และตัวซีดเหลืองคล้ายขาดอากาศหายใจ รีบนำส่ง รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา แพทย์นำเข้าห้องผู้ป่วยหนักพยายามให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่ไม่เป็นผล ร่างกายน้องเก้าเริ่มไม่ตอบสนอง ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา


แม่หนูน้อยเคราะห์ร้ายกล่าวต่อว่า
 
ล่าสุดเมื่อ 2 วันก่อน แพทย์ยืนยันว่าน้องเก้ามีภาวะสำลักนมหมดสติไปนานจนสมองขาดออกซิเจน และได้เข้าสู่ภาวะสมองตายอย่างถาวรแล้ว ขอให้ทำใจด้วยหากถอดเครื่องช่วยหายใจก็จะเสียชีวิตในทันที หรือหากปล่อยไว้ก็จะเสียชีวิตในวัน 2 วันนี้แน่นอน จึงปรึกษากับสามี ตกลงว่าจะบริจาคไตของน้องเก้าให้สภากาชาดไทย เพื่อนำไปผ่าตัดเปลี่ยนให้กับผู้ที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ในชีวิตของน้องเก้า จะได้หมดกรรมและชาติหน้าจะได้เกิดเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีแข็งแรงอายุยืนยาว เพราะเห็นว่าหากตายไปและนำไปเผาก็ไม่ได้ประโยชน์เท่ากับบริจาคให้กับผู้ป่วยที่ต้องการ ซึ่งตนและแม่สามีก็ได้ลงชื่อเพื่อเสนอบริจาคอวัยวะและร่างกายให้สภากาชาดไทยไปแล้วเมื่อปลายปี 2549


นพ.วรนพ วรรณวิจิตร หัวหน้าศูนย์รับบริจาคอวัยวะ รพ.ศูนย์พระนครศรีอยุธยา และเป็นแพทย์เจ้าของไข้ เปิดเผยว่า

น้องเก้าสมองตาย เพราะสมองขาดออกซิเจน ซึ่งทางแพทย์และทางกฎหมายถือว่าคนที่สมองตายเป็นคนที่เสียชีวิตแล้ว หากนำเครื่องช่วยหายใจออกก็เป็นการสิ้นสุด พ่อแม่ของน้องเก้าได้มาปรึกษาและตัดสินใจบริจาคอวัยวะให้กับผู้รอรับตามบัญชีของสภากาชาดไทย ซึ่งขณะนี้พบผู้รอรับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะแล้ว เพราะจากการตรวจพิสูจน์พบว่าเซลล์ของผู้ให้และผู้รับเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหา และคาดว่าในเย็นนี้แพทย์จากสภากาชาดไทยจะเดินทางมารับไตไปเพื่อผ่าตัดให้ผู้รับบริจาคไตต่อไป


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์