ฎีกาประหารหมอวิสุทธิ์ ความลับติดตัวชั่วชีวิต

หมอวิสุทธิ์ปิดปากเงียบคดีฆ่าเมีย


แม้ศาลฎีกาตัดสินพิพากษายืนไปแล้ว แต่ยังไม่เคยมีคำสารภาพใด ๆ ออกจากปากของ นพ.วิสุทธิ์ ปมปริศนาว่าทำไมต้องฆ่า พญ.ผัสพร ยังคงมืดมิด และเป็นความลับของ นพ.วิสุทธิ์คนเดียวไปชั่วทั้งชีวิต’

จากข้อมูลในหลักฐานต่าง ๆ ทำให้หมอวิสุทธิ์ต้องโดนประหารชีวิตสถานเดียว

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และ นายโชติ วัฒนเชษฐ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ. จุฬาฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่า พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูติ นรีแพทย์ รพ.บุรฉัตรไชยากร หรือ รพ.รถไฟ ภรรยาตนเองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซ่อนเร้น ทำลายศพ กักขังหน่วงเหนี่ยว ปลอมเอกสาร หลังศาลฎีกาพิเคราะห์จากการข้อต่อสู้ของ ฝ่ายจำเลย และการนำสืบของโจทก์ทั้ง 2 แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลย ไม่อาจรับฟังเพื่อนำมาหักล้างน้ำหนักพยานของโจทก์ได้ ข้อโต้แย้งของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยถือว่าโหดเหี้ยม จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิตสถานเดียว

ย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นคดีที่สะเทือนใจมาก

ย้อนรอยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญดังกล่าว เมื่อ วันที่ 23 ก.พ. 44 นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ แจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวน สน. พญาไท ว่า พญ.ผัสพร ภรรยาตนเองหายตัวไป เจ้าหน้าที่รีบรายงานให้ พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผบช.น. (ยศในขณะนั้น) รับทราบทันที พร้อมมีคำสั่งให้ พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์ คงชื่น รอง ผบช. พร้อมชุด สืบสวน กก.สส.น.1 โดย พ.ต.อ. สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผกก. พ.ต.ท.คณิศร์ชัย มหินทรเทพ รอง ผกก. นำทีมสืบสวนระดมหาเบาะแส พญ.ผัสพร อย่างพลิกแผ่นดิน ส่วนสื่อทุกฉบับต่างจับประเด็นการหายตัวลึกลับของหมอสาวมาประโคมข่าวพาดหัวใหญ่อย่างครึกโครม ไม่มีใครคาดคิดว่าคดีดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อน และเป็นการพลิกบทบาท งานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจของประเทศไทย

ซึ่งตำรวจได้หลักฐานในการที่หมอวิสุทธิ์นัดภรรยาก่อนตาย


ตำรวจชุดสืบสวน ได้เบาะแสเบื้องต้นว่า นพ.วิสุทธิ์ เป็นคนสุดท้ายที่พบผู้ตายโดยนัดไปรับประทานอาหารที่ ร้านโออิชิ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ นพ.วิสุทธิ์เดินประคองภรรยาที่มี อาการสะลึมสะลือคล้ายถูก วางยา ขณะที่การ สอบพยานแวดล้อม ได้ข้อมูลสำคัญว่า นพ.วิสุทธิ์ มีปัญหาขัดแย้งกับภรรยาในหลายประเด็น ถึงขั้นฝ่ายหญิงเตรียมการฟ้องร้องและร้องเรียนเรื่องบางอย่างต่อแพทยสภา ซึ่งอาจทำให้ นพ.วิสุทธิ์ ตกอยู่ในฐานะลำบากถึงที่สุด

อย่างไรก็ดีหลักฐาน ที่จะนำไปสู่การปิดคดีช่างดูเลือนราง

เพราะขาดประจักษ์พยาน อีกทั้งการตรวจสอบสถานที่ต่าง ๆ ที่ นพ.วิสุทธิ์ และ พญ.ผัสพร เคยไป ก็ไม่พบหลักฐานที่เป็นประโยชน์ ทำให้แฟ้มสืบสวนของเจ้าหน้าที่เริ่มรวบรวมจนหนากองท่วมโต๊ะทำงาน กระทั่งผ่านพ้นมาถึง 1 เดือนเต็ม ในช่วงปลายเดือน มี.ค. ชุดสืบสวน กก.สส.น.1 โดย ร.ต.อ.อธิวัฒน์ บุษปฤกษ์ รอง สว. ได้เบาะแสสำคัญเป็น การใช้โทรศัพท์ ที่ นพ.วิสุทธิ์ ใช้โทรฯติดต่อ อาคารวิทยนิเวศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถานที่สุดท้าย เนื่องจาก ในช่วงนั้น เจ้าหน้าที่เห็นเป็นเพียงสถานที่ใช้จัดสัมมนาของบรรดาเหล่านายแพทย์เลยมองข้ามไป

สุดท้ายพนักงานสืบสวนถึงได้เบาะแสในระยะเวลา 1 เดือน

แต่แท้จริงแล้ว นี่คือสถานที่ที่ นพ.วิสุทธิ์ มาเปิดห้องพักหมายเลข 318 ใช้เป็น “ลานประหาร” ชำแหละร่างอดีตภรรยาของตนเอง อย่างโหดเหี้ยม เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ระดมกำลังเข้าตรวจสอบห้องพักในทันที โชคดีที่ยังหลงเหลือคราบเลือดอยู่ในห้องน้ำและอ่างล้างหน้า และเมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ “บ่อเกรอะ” ของอาคารที่พักดังกล่าว ต่างถึงกับตะลึงกับความโหดเหี้ยมของจิตใจมนุษย์ เมื่อพบ เศษชิ้นเนื้อของมนุษย์จำนวนมากถูกชำแหละทิ้งเอาไว้ ทำให้ชุดคลี่คลายคดีมั่นใจว่า นี่คือคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ หนึ่งในคดีอาชญากรรมประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน

ถึงเวลานี้ หน้าที่หนักตกอยู่กับ พล.ต.ต.จงรัก รอง ผบช.น.

ซึ่งรับผิดชอบการทำสำนวนคดี ส่วนชุดสืบสวนได้เข้าควบคุมตัว นพ.วิสุทธิ์ มาสอบปากคำอย่างเคร่งเครียด แต่ นพ.วิสุทธิ์ ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยี่หระ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น และขอให้การสู้คดีในชั้น ศาลเท่านั้น ต่อมา พล.ต.ต.จงรัก รวบรวมหลักฐานที่พบ

อาทิ การที่ นพ.วิสุทธิ์ว่าจ้างคนพิมพ์จดหมาย ลางานของภรรยา


การโทรฯเข้าเพจเจอร์เบอร์ตัวเองเพื่อสร้างหลักฐาน เท็จ และที่สำคัญคือชิ้นเนื้อที่ผ่าน การพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นของ พญ.ผัสพร สรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการ ผลที่ได้รับทำให้ญาติผู้ตาย และตำรวจทุกคนแทบเข่าอ่อนเพราะ อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลไปทำนองว่า คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานและหาศพผู้เสียชีวิตไม่พบ เนื่องจากในช่วงเวลานั้น การสรุปสำนวนส่งฟ้องคดีฆาตกรรม ยึดหลักฐานสำคัญจากการพบศพและมีประจักษ์พยาน ส่วนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่มีบทบาทการไต่สวนคดีเท่าไรนัก ร้อนถึง นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาของ พ.ญ.ผัสพร ต้องเป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องเอง คดีถึงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและได้รับการพิจารณาจนถึงที่สุด

ถึงวันนี้ เวลา 6 ปีกว่า ที่ นพ.วิสุทธิ์ ต่อสู้คดีความมา

เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง เมื่อศาลฎีกาตัดสินพิพากษายืน “ประหารชีวิต” อาจเรียกได้ว่ากระบวนการยุติธรรมได้ขับเคลื่อนตามกลไกจนบรรลุผลแล้ว ขณะเดียวกัน เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ในคดีอาชญา กรรมของประเทศไทย เริ่มมีบทบาทมากขึ้นก็เพราะคดีนี้เช่นกัน

ความลับในการฆ่าภรรยายังไงก็ไม่ถูกเปิดเผย

ถึงแม้ว่า นพ.วิสุทธิ์ ยังมีเวลา ที่เหลือในการใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือ เพื่อนนักโทษในเรือนจำ แต่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่ากรรมดีที่ก่อนั้น จะไปชดเชยเวรกรรมที่ทำไว้กับ พญ.ผัสพรได้หรือไม่ และแม้วันนี้ ศาลฎีกาได้ตัดสินพิพากษายืนไปแล้ว แต่ยังไม่เคยมีคำสารภาพใด ๆ ออกจากปากของ นพ. วิสุทธิ์ ปมปริศนาว่าทำไมต้องฆ่า พญ. ผัสพร ยังคงมืดมิด และเป็นความลับของ นพ.วิสุทธิ์เพียงคนเดียวไปชั่วทั้งชีวิต.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์