หัวอกแม่ ยอมเสียตับแลกกับชีวิตอยู่สาววัย 8 ขวบ

หัวอกแม่ ยอมเสียตับแลกกับชีวิตอยู่สาววัย 8 ขวบ

หัวอกแม่ ยอมเสียตับแลกกับชีวิตอยู่สาววัย 8 ขวบ

เผยชีวิตแม่ชาวสงขลาสุดประเสริฐ ยอมสละตับตัวเองแลกกับชีวิตลูกสาววัย 8 ขวบที่ป่วยด้วยโรคถุงน้ำดีอุดตันมาตั้งแต่เกิดจนอาการหนักระยะสุดท้าย อาจเกิดภาวะตับวาย ยอมแลกชีวิตจนกระทั่งรอด และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่ครอบครัวลำบากเพราะไม่สามารถทำงานหนักได้วอนฝึกอาชีพระยะสั้นเพื่อหาเงินรักษาลูกที่ป่วยและส่งลูกสาวกับลูกชายอีกสองคนเรียนเนื่องจากสามีเสียชีวิต

โดยแม่ที่ยอมแลกชีวิตกับลูกรายนี้คือนางอุไรวรรณ  แสงอรุณ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่68/1 ม.1 บ้านหนองมวง ต.กระดังงา อ.สทิงพระ จ.สงขลา
 
ซึ่งยอมเสียสละตับข้างซ้ายของตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตลูกสาววัย 8 ขวบ ซึ่งป่วยเรื้อรังด้วยโรคถุงน้ำดีอุดตันมาตั้งแต่เกิดจนถึงระยะสุดท้ายกระทั่งรอดชีวิต  และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์

แต่ชีวิตครอบครัวยังลำบากเนื่องจากสามีเสียชีวิตต้องดูแลลูกที่ป่วยซึ่งต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกเดือนและครอบครัวขาดรายได้ เพราะหลังผ่าตัดเปลี่ยนตับให้ลูกไม่สามารถทำงานหนักได้และยังมีลูกที่ยังเรียนอีกสองคนส่วนสามีเสียชีวิตโดยต้องการฝึกอาชีพมาทำที่บ้าน

นางอุไรวรรณได้เล่าถึงเรื่องราวที่ต้องยอมเสียตับเพื่อแลกกับชีวิตของลูกสาวว่า
 
หลังจากที่ ด.ญ.นิชารีย์ แสงอรุณ หรือน้องกิ๊กซึ่งปัจจุบันอายุ 8 ปี ลูกสาวคนเล็ก คลอดออกมาซึ่งเป็นการคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์แค่ 7 เดือนและป่วยด้วยอาการถุงน้ำดีอุดตัน และต้องผ่าตัดรักษาตั้งแต่อายุได้ 3 เดือนหลังจากนั้นก็เข้าออกโรงพยาบาลสงขลานครินร์ อ.หาดใหญ่ มาตลอด และถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อปี 54 ใช้เวลารักษาอยู่ 2 ปี แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงรับน้องกิ๊กเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่จ.สงขลา เมื่อวันที่ 17 ม.ย.56

นางอุไรวรรณ เล่าถึงจุดวิกฤติของชีวิตลูกสาวว่าระหว่างพักรักษาอยู่ที่บ้านในช่วงเดือนสิงหาคมปี 56 อาการเริ่มทรุดหนักอาเจียนเป็นเลือดและเริ่มเบลอ
 
จึงส่งไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์และถูกส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งทางเดียวที่จะช่วยชีวิตลูกสาวไว้ได้คือต้องผ่าตัดเอาตับของตนไปเปลี่ยนถ่ายให้กับลูกสาว เนื่องจากอาจเกิดภาวะตับวายและเสียชีวิตได้ทุกวินาทีซึ่งนาทีนั้นตนยอมที่จะแลกชีวิตของตนกับลูกโดยที่ไม่คิดอะไรขอให้ลูกมีชีวิตรอดก็พอส่วนตนถึงจะตายก็ยอม

กระทั่งแพทย์ได้ลงมือผ่าตัดโดยตัดตับด้านซ้ายของตัวเองเพื่อไปใส่ให้กับลูกสาว ซึ่งการผ่าตัดนับเป็นนาทีชีวิตและความเป็นความตายของลูกสาวซึ่งแพทย์ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าการผ่าตัดเปลี่ยนตับจะสำเร็จและลูกสาวรอดชีวิตหรือไม่เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง

แต่ปรากฏว่าหลังการผ่าตัดน้องกิ๊กรอดชีวิตและพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี8 เดือนและเริ่มมีอาการดีขึ้น

โดยปัจจุบันได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านแต่ก็ต้องเดินทางไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตรวจทุกเดือนรวมทั้งตนด้วยแต่การเดินของลูกสาวยังไม่ปกติ เนื่องจากแพลงจากอาการป่วยเรื้อรัง รวมทั้งลูกสาวก็ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะต้องรักษาอาการป่วยมาตั้งแต่เกิด

นางอุไรวรรณ กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า แม้ลูกสาวจะอาการดีขึ้นแต่สภาพครอบครัวปัจจุบันค่อนข้างลำบากเนื่องจากสามีเสียชีวิตไปเมื่อปี 55

และยังมีลูกสาวคนโตที่กำลังเรียนประมงชั้นปวส.2 อยู่ที่จ.นครศรีธรรมราช และลูกชายคนกลางที่เรียนวิศว ชั้นปวช.3 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวิชัย จ.สงขลา ซึ่งทั้งสองคนกู้เงินกยศ.มาเป็นทุนการศึกษาและช่วงปิดเทอมต้องมาทำงานหารายได้พิเศษ

ส่วนตนหลังผ่าตัดเปลี่ยนตับให้กับลูกสาวก็ไม่สามารถทำงานหนักได้อาชีพหลัก

คือทำสวนมะลิก็ต้องหยุดเพราะต้องดูแลลูกที่ป่วยรวมทั้งบ้านที่อยู่ก็จะติดจำนองกับแบงค์ที่กู้มาสร้าง รวมทั้งต้องเดินทางพาน้องกิ๊กไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกเดือน ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเหล่ากาชาดจ.สงขลา เป็นค่าเดินทางครั้งละ3,000 บาท  ซึ่งตนต้องการที่จะฝึกอาชีพที่สามารถนำกลับมาทำที่บ้านได้เพื่อหารายได้และดูแลลูกที่ป่วย พร้อมๆกันไปด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือครอบครัวนี้ติดต่อโดยตรงได้ที่ นางอุไรวรรณ หมายเลข 089-6557316 หรือ หมายเลขบัญชี 923-0-06031-3นางอุไรวรรณ แสงอรุณ ธนาคารกรุงไทย สาขาสทิงพระ

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์