เห็นใจตำรวจชั้นผู้น้อย โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองรุนแรง ถึงขั้นมีการชุมนุมประท้วงเรียกร้อง

ยึดสถานที่หรือมีการเคลื่อนที่ของผู้ชุมนุม ในเบื้องต้นก็ตกเป็นภาระหน้าที่ของตำรวจ เป็นด่านแรกที่รัฐบาลจะใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และของราชการ

ชีวิตตำรวจซึ่งมีพ่อแม่ ภรรยา สามี บุตรหลาน เหมือนกับประชาชนโดยทั่วไป
 
ถ้าเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย เงินเดือนรายได้ก็ไม่มาก ความเป็นอยู่ก็อัตคัดขัดสน แม้ทางราชการจะจัดห้องพักให้อยู่ แต่ก็เป็นห้องแคบๆ อากาศก็ร้อนแค่พออยู่ได้ คู่สมรสก็ต้องมีอาชีพอื่นมาช่วยเสริมเป็นอาชีพรับจ้างบ้าง อาชีพค้าขายเล็กๆ น้อยๆ บ้าง

สังคมไทยโดยทั่วไปมักจะดูแคลนตำรวจว่าเป็นอาชีพที่รีดไถ ข่มขู่ พ่อค้า แม่ขาย ที่ก็ยากจนพอๆ กัน
อาชีพตำรวจเมื่อสมัย 40-50 ปีก่อนเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลงไป ทั้งๆ ที่ตำรวจชั้นผู้น้อยส่วนใหญ่มิได้เป็นเช่นนั้น แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างอัตคัดขัดสน ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นไปทั้งหมด


เห็นใจตำรวจชั้นผู้น้อย โดย วีรพงษ์ รามางกูร

หลายครั้งที่นั่งรถยนต์ติดเครื่องปรับอากาศ เห็นตำรวจชั้นผู้น้อยยืนคอยโบกรถที่ผ่านไปมาในชุดเครื่องแบบที่หนารัดรูป ใส่เสื้อคอกลมซับเหงื่ออยู่ข้างใน เข็มขัดต้องห้อยอุปกรณ์ต่างๆ นานา แล้วยืนตากแดดเป็นชั่วโมงๆ ก็รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติในเมืองหลวง ตำรวจก็จะถูกระดมมาที่กรุงเทพฯ เพื่อปฏิบัติงานรักษาสถานที่ราชการ ควบคุมสถานการณ์ต่างๆ คอยกันมิให้มวลชนเข้าใกล้กัน กันการปะทะบาดเจ็บล้มตาย ตำรวจกลายเป็นกันชนที่มีชีวิต

ตำรวจที่ถูกระดมมาจากต่างจังหวัด ที่ต้องปฏิบัติราชการผลัดละ 8 ชั่วโมง การทำงานกลางแดด กลางฝน และน้ำค้างในตอนกลางคืน ก็หนักอยู่แล้ว เมื่อออกจากผลัดก็ไม่ทราบว่าไปพักที่ไหน หลับนอนกันอย่างไร ห้องน้ำห้องท่าเอาที่ไหน ที่เห็นก็นอนงีบหลับตามสนามหญ้าหรือพื้นซีเมนต์

อาหารที่ทางการแจกก็เห็นเป็นข้าวกล่องคนละกล่อง มีช้อนพลาสติกเล็กๆ หลบไปนั่งรับประทานกันตามร่มไม้ ไม่ทราบว่าจะอิ่มหรือไม่ อย่างไรเสียก็คงจะสู้อยู่บ้านรับประทานกับลูกกับเมียไม่ได้ เบี้ยเลี้ยงรายวันก็เล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เก็บเอาไปบ้าน พอให้ลูกให้เมียไว้ใช้ ไม่ได้ใช้ที่กรุงเทพฯเลย

ดูจากภาพ เมื่อมีการประกาศจะยึดสถานที่ราชการของฝ่ายชุมนุม และมีประกาศของฝ่ายรัฐบาลจะไม่ยอมให้ยึด
คนส่วนใหญ่ก็จะมีใจคิดต่อไปที่ผู้นำของทั้งสองฝ่าย แต่น้อยคนนักที่จะนึกไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะถูกสั่งให้เป็นผู้ป้องกัน สถานที่ต่างๆ เหล่านั้น ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรในเมื่อตำรวจเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้นโดยตรง

เมื่อมีการตั้งแท่งซีเมนต์ขนาดสูงใหญ่หนา พร้อมด้วยลวดหนาม เป็นเครื่องกีดขวาง

แต่หลังแท่งปูนซีเมนต์ ขดลวดหนาม คือกำแพงมนุษย์ คือตำรวจที่มีเลือดมีเนื้อมีจิตใจ รู้สึกร้อนรู้สึกหนาว เหมือนๆ กับพวกเราทุกคน มีลูกมีเมียญาติพี่น้องที่ใจเต้นระทึกว่าสามี พ่อ ลูกหรือหลานของตนที่ยืนเป็นกำแพงกันผู้ชุมนุมจะปลอดภัยได้กลับบ้านหรือไม่

มองเห็นเครื่องแบบหนาสีดำ ใส่หมวกมีกระจกบังหน้า มีผ้าห้อยปิดศีรษะด้านหลัง ยืนตากแดดอยู่เป็นชั่วโมงๆ ก็คงจะเหมือนเข้าไปอยู่ในเตาอบ ที่ไม่มีอากาศถ่ายเทออกมาด้านนอกร่างกายได้เลย ยังนึกประหลาดใจว่า ตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านั้น เขาทนความร้อนยืนกลางแดดเป็นชั่วโมงๆ ได้อย่างไร ได้ข่าวว่ามีหลายคนเป็นลม หลายคนเจ็บป่วยถึงขั้นต้องหามไปโรงพยาบาลก็มี ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง หรือโรคนิ่ว เพราะกั้นปัสสาวะบ่อยๆ ก็คงจะแย่

ทางด้านจิตใจ ตำรวจที่จากบ้านมาทำหน้าที่ ถูกสั่งไม่ให้ติดอาวุธ มีเพียงโล่และกระบองเท่านั้นไว้กันฝูงชน ซึ่งไม่แน่นักว่าฝ่ายมวลชนจะไม่มีอาวุธร้ายแรง แต่ก็อาจจะมีหนังสติ๊ก ลูกแก้ว หัวน็อต รวมทั้งคันธงชาติ ที่อาจจะใช้ทำร้ายได้

นอกจากนั้นก็ต้องสะกดอารมณ์ เมื่อถูกยั่วยุ ก่นด่า ซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของผู้เข้าร่วมชุมนุม ทุกคราวที่มีการชุมนุมกันในถนน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่าย นปช. และการชุมนุมที่จัดขึ้นโดยฝ่ายต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตำรวจชั้นผู้น้อยชุดเดียวกันนี้แหละต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลควบคุมสถานการณ์ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงอาจจะเปลี่ยนไป แต่ผู้ปฏิบัติการในสนามก็คือตำรวจชั้นผู้น้อยชุดเดียวกัน

ลองนึกดูว่าตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ จะคิดอย่างไร เขาไม่ใช่หุ่นยนต์ ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด ย่อมจะรู้และเข้าใจทุกอย่างเหมือนๆ กับพวกเรา แต่จะแสดงความคิดเห็น จะแสดงออกก็ไม่ได้ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่อาจจะแสดงออกได้ แต่ตำรวจชั้นผู้น้อยในขณะปฏิบัติหน้าที่ทำอะไรไม่ได้

เมื่อถูกทำร้ายบาดเจ็บก็จะเป็นข่าวเล็กน้อยตอนถูกหามไปโรงพยาบาลเท่านั้น แล้วข่าวก็หายเงียบไป แต่เรื่องอย่างเดียวกันถ้าเกิดกับมวลชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดสังคมจะให้ความสนใจ สื่อมวลชนก็จะเสนอข่าวในเชิงลึกอยู่หลายวัน แต่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่บาดเจ็บจะถูกลืม

เมื่อ 2-3 วันมานี้ เคยลงไปนั่งคุยกับตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่ในชุดปราบจลาจลสีดำ ผลัดที่หยุดพักผ่อนจากการยืนกรำแดดมาหลายชั่วโมง เพื่อรับประทานข้าวกล่อง ขอดูข้าวกล่องว่ามีอะไร ก็มีข้าวประมาณสัก 1 จาน มีไก่ผัดกระเพา ไข่ดาวไม่มี มีน้ำขวดหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งสำหรับการปฏิบัติงานหลายชั่วโมงอย่างนี้ ไม่น่าจะอิ่ม ส่วนน้ำขวดนั้นมีให้เพียงพอ เมื่อรับประทานอาหารกล่องแล้วก็เอาเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไปซัก ทั้งเสื้อคอกลมและเสื้อชั้นนอก ออกไปซักเองที่ห้องน้ำแล้วเอาไปตากแดดตามสนามหญ้าและพุ่มไม้ ยังไม่ทันจะแห้งดีก็นำมาใส่ใหม่เพราะต้องเข้าเวรผลัดใหม่ และอาศัยช่วงนั้นงีบหลับพร้อมที่จะตื่นมาปฏิบัติงานต่อไป เมื่อเข้าไปคุยด้วยก็ต้องระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครมาคุยด้วย เมื่อแสดงตัวให้ตำรวจที่คุยด้วยรู้ว่าเป็นใครก็คุยกันได้ ส่วนใหญ่ก็เหน็ดเหนื่อย เป็นห่วงบ้านในต่างจังหวัด อยากให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว เพราะใครจะชนะ ตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร คงอยู่เหมือนเดิม ยากจนเหมือนเดิม ส่วนผู้บังคับบัญชาผู้ใหญ่อาจจะได้ความดีความชอบหรือถูกปลดแล้วแต่กรณี

ตำรวจหลายคนที่คุยด้วยเป็นห่วงพื้นที่ปฏิบัติงานของตนในต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร ถ้ามีโจรผู้ร้าย มีคดีเกิดขึ้นจะทำอย่างไร แต่ก็โชคดีในขณะที่เกิดความตึงเครียดในกรุงเทพฯ โจรผู้ร้าย รวมทั้งการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ดูจะเงียบลงไปด้วย ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลประการใด

ในเหตุการณ์วิกฤตที่มีการชุมนุมใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เห็นอกเห็นใจฝ่ายที่ตนชอบ สะใจกับฝ่ายที่ตนไม่ชอบ แต่คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสนาม

ชีวิตตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นอย่างไร ทุกคนก็จะลืม

..............

(ที่มา:มติชนรายวัน 5 ธ.ค.2556)


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์