แย่แล้ว..ศก.ไทยบ๊วยสุดในเอเชีย

ศก.ไทยบ๊วยสุดในเอเชีย เตือนเร่งสร้างความเชื่อมั่น


วันนี้ นายฌอง-ปิแอร์ เอ.เวอร์บิสท์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2550-2551 การขยายตัวคาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัว โดยคาดจะขยายตัวร้อยละ 4 และร้อยละ 5 ตามลำดับ สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจเอเชีย ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.6 และ 7.7 ขณะที่ปี 2549 นั้น เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 5 แต่เศรษฐกิจเอเชียขยายตัวร้อยละ 8.3 นับเป็นอัตราเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลหลักจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนและอินเดียรวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย

ซึ่งในส่วนของไทยมีการขยายตัวในอันดับต่ำสุดในอาเซียน และเป็นอันดับรองจากอันดับสุดท้ายเมื่อเทียบกับเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก ปัจจัยหลักเกิดจากความเชื่อมั่นทุกด้านที่ลดลง เพราะปัญหาการเมือง ในขณะเดียวกัน มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอีกด้วย


พร้อมกันนี้ ผอ.เอดีบี ประจำประเทศไทย ยังได้วิจารณ์ว่า


มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น ดำเนินการล่าช้าเกินไป เพราะมีการเก็งกำไรก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้ระบุชัดว่ามาตรการนี้ควรยกเลิกหรือไม่

เอดีบี เตือนว่า เศรษฐกิจในช่วง 2 ปีนี้ จะพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวและค่าเงินบาทที่แข็งค่ามีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันเช่นกัน คาดว่าการส่งออกในปี 2550 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 7.9 เท่านั้น ดังนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภคและการลงทุน

อย่างไรก็ตาม การประมาณการเศรษฐกิจนี้ อยู่บนสมมุติฐานว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และหากรัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจก็จะกลับมาดีขึ้น และจะส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวในปี 2551 นอกจากนั้น รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญและเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างระมัดระวัง

สำหรับการคาดการเศรษฐกิจในปี 2550-2551 เอดีบี คาดว่าการนำเข้าจะเร่งตัวขึ้น เนื่องจากบริษัทเริ่มจะเพิ่มสินค้าคงคลัง อย่างไรก็ดี อุปสงค์ภายในประเทศยังคงชะลอตัว จึงส่งผลให้การส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8 ส่วนการนำเข้าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากมีการเลือกตั้ง เนื่องจากการลงทุนทางภาครัฐและเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัว สำหรับการคาดการณ์ดุลการค้าในปีนี้จะเกินดุลประมาณ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่จะลดลงในปี 2551 ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลประมาณ ร้อยละ 1.3 ของจีดีพีในปีนี้ และจะกลับไปขาดดุลในปี 2551


ในรายงานของเอดีบีระบุด้วยว่า


ความพยายามของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงินถูกบั่นทอนโดยการออกมาตรการควบคุมเงินทุน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการหยุดชะงักของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แผนพัฒนาตลาดทุนไทยที่ได้รับการรับรองในปี 2549 ตั้งเป้าหมายจะขยายขนาดของตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ในปี 2553 และแผนดังกล่าวได้กล่าวถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อขยายตลาดตราสารทุน อย่างไรก็ตาม แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้หยุดชะงัก

เนื่องจากในช่วงปลายปี 2548 มีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดว่าการเสนอขายหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อาจเป็นการละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ คาดว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคงจะไม่มีขึ้นจนกว่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการปฏิรูปภาคการเงินในปีนี้ การแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ร.บ.การประกันภัย การแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่จะเพิ่มความเป็นอิสระให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลทั้งสามให้ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ

จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์