ให้ประหารจ่ามีกับสจ.รักษ์บึมแม่สส.

"คดีลอบวางระเบิดฆ่า"


เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 พ.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 714 ศาลอาญา ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีลอบวางระเบิดฆ่านางปัทมา เฟื่องประยูร มารดาของนางคมคาย พลบุตร อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่พนักงานอัยการ จ.จันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีนางปัทมา เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายประสงค์ แสงจันทร์ หรือหมู แก่งคอย จำเลยที่ 1, นายสิทธิพร หรือจ่ามี ขำอาจ อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ จำเลยที่ 2 ผู้ใช้จ้างวาน, นายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ อยู่สุข อดีต ส.จ.อำเภอเชียงคาน จ.เลย จำเลยที่ 3 ผู้ใช้จ้างวาน และ จ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ จำเลยที่ 4 ความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันจ้าง วาน ฆ่า ผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ นายกนกพล หรือเสน่ห์ เยี่ยมสวัสดิ์ จำเลยที่ 5 ทางอัยการได้แยกสำนวนฟ้อง ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีนี้ให้จำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว โดยการฟังคำพิพากษาในนัดนี้ นายสนิท และนางคมคาย สามีและบุตรสาวของนางปัทมาผู้ตาย พล.ต.อ.ณรงค์วิทย์ ไทยทอง อดีตรอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดทำคดีดังกล่าว เดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ในขณะที่ฝ่ายจำเลยมีบรรดาญาติและคนสนิทไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

"นำสืบความว่า"


โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 40 เวลา 10.45 น. นางปัทมาผู้ตาย ขับรถเบนซ์ เลขทะเบียน 3 ศ-9852 กรุงเทพมหานคร ของสามี ออกจากบ้าน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ไปเรียนหนังสือที่ ม.ราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่ขับรถเข้าไปลานจอด ท้องรถเกิดกระแทกกับแผ่นปูนคอนกรีตชะลอความเร็วรถจนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้นางปัทมาเสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือจ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (ได้ยิงตัวตายเสียชีวิตไปแล้ว) ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2-4 และนายกนกพล วางแผนเมื่อคืนวันที่ 30 ส.ค. 40 เพื่อฆ่านายสนิท เฟืองประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีของผู้ตาย ที่ห้องสูท สถานบริการอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง โดยนายกนกพลพาจำเลยทั้งหมดไปพบ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ผู้ต้องหา เพื่อพาไปเฝ้าติดตามนายสนิทตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งวันที่ 5 ก.ย. 40 เวลาประมาณ 01.00 น. นายประสงค์ จ.ส.อ.นิคม และนายกนกพล นำระเบิดแสวงเครื่องไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถเบนซ์ของนายสนิท โดยวางแผนกดรีโมตระเบิดเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ปรากฏว่าระเบิดไม่ทำงาน แผนดังกล่าวจึงต้องล้มเลิก แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 40 เวลา 10.30 น. นางปัทมาได้ขับรถเบนซ์ออกไปจนเกิดระเบิดขึ้น

คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งหมดกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มี จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคม ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนสอดคล้องตรงกันว่า นายกนกพลเป็นคนติดต่อ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ไปร่วมวางแผนการฆ่านายสนิท โดยพบนายสิทธิพร หรือจ่ามี และนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ ร่วมอยู่ด้วย ต่อมา นายกนกพล นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคมติดตามรถเบนซ์ของนายสนิทไปยังสถานที่ต่างๆ ก่อนตามไปพบรถของนายสนิทจอดอยู่โรงแรมอิสเทิร์น นายกนกพล นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคม จึงนำระเบิดไปผูกไว้ใต้รถบริเวณที่นั่งคนขับ เมื่อนายสนิทกลับมาที่รถ กลุ่มจำเลยได้กดรีโมต แต่ระเบิดไม่ทำงาน แผนการดังกล่าวจึงต้องยกเลิกไป

"เชื่อให้การโดยสมัครใจ"


ทั้งนี้ การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของนายกนกพล นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคม นั้น มี พล.ต.อ.ณรงค์วิทย์ ไทยทอง อดีตรอง ผบ.ตร. และชุดพนักงานสอบสวน ที่เป็นนายตำรวจระดับสูง เบิกความรับรองว่า จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคม ได้เบิกความตามจริง โดยมีการทำบันทึกคำให้การรับสารภาพ นำชี้จุดสถานที่ต่างๆ รวมถึงรถที่ใช้ในการกระทำความผิด เห็นว่าคำให้การของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน ยากที่จะปั้นแต่งเรื่องได้ ยิ่งกว่านั้น ยังนำชี้ที่เกิดเหตุ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงและสื่อมวลชน โดยไม่มีเหตุปรักปรำ เชื่อว่าให้การโดยสมัครใจ แม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ไม่ได้ปัดความผิดให้ผู้อื่นได้รับโทษแทนตนเอง แต่ให้การไปตามเหตุการณ์ที่ประสบมา ส่วนนายประสงค์และ จ.ส.อ.นิคม แม้เป็นพยานบอกเล่า แต่กฎหมายไม่ได้ระบุว่าไม่ให้ฟังความประกอบ

นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพนักงานต้อนรับของอาบ อบ นวด มโนราห์ เบิกความสอดคล้องกันพบเห็นกลุ่มจำเลยไปใช้บริการ โดยมีการชี้ตัวยืนยัน นายสิทธิพร หรือจ่ามี และนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ ไว้ด้วย เชื่อว่าพยานเบิกความไปตามจริง นอกจากนี้ โจทก์ยังมีภรรยา ของนายประสงค์เบิกความประกอบว่า ก่อนเกิดเหตุนายกนกพลเดินทางไปหาที่บ้านพัก เลขที่ 105/4 ม.8 อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยนำถุงกระดาษสีน้ำตาล ภายในมีกระดานไม้อัด แท่งเหล็ก แบตเตอรี่ และรีโมตแบบเสาชัก ไปทดสอบติดตั้งที่บ้าน ซึ่งหลังเกิดเหตุ นายประสงค์กลับไปบ้าน พร้อมกับโยนเงินให้บนเตียงนอน จำนวน 3 มัด แล้วพูดขณะที่โทรทัศน์กำลังแพร่ภาพข่าวการตายของนางปัทมาว่า นี่แหละงานที่ไปทำมา

"ปราศจากข้อสงสัย"


โจทก์ยังมีหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของกลุ่มจำเลยที่เชื่อมโยงสอดคล้องถึงตัวบุคคลและสถานที่ต่างๆอีกด้วย ภายหลังจับกุมนายประสงค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปค้นบ้านพักที่ จ.สระบุรี พบเชื้อปะทุชนิดเดียวกับที่ใช้วางระเบิดสังหารนางปัทมา แม้ในชั้นศาล นายประสงค์และ จ.ส.อ.นิคมจะให้การปฏิเสธว่า ที่ให้การรับสารภาพไปนั้น เป็นเพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อม แต่ผลการตรวจร่างกายของแพทย์ที่ตรวจไว้นั้น ไม่พบบาดแผลถูกทำร้ายแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าในชั้นสอบสวน นายประสงค์ และ จ.ส.อ.นิคม เบิกความไปตามจริง พยานหลักฐานของจำเลยทั้ง 4 มีข้อพิรุธสงสัยหลายประเด็น ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้

จึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันวางระเบิด เพื่อหวังที่จะฆ่านายสนิท โจทก์ร่วม เมื่อไม่ตายสมเจตนา จึงมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยผลการตายไปเกิดแก่นางปัทมา จำเลยทั้ง 4 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยที่นายสิทธิพร หรือจ่ามี จำเลยที่ 2 และนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวาน เมื่อจำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันกระทำความผิดแล้วต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ จำเลยทั้ง 4 ใช้ระเบิดแสวงเครื่อง มีความผิดฐานใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังพบเชื้อปะทุไฟฟ้าที่บ้านของนายประสงค์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานมีเชื้อประทุไฟฟ้าในความครอบครองอีก 1 กระทง

"ตัดสินประหารชีวิต"


พิพากษาว่า นายประสงค์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเชื้อปะทุไฟฟ้า ให้จำคุก 6 ปี และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง ให้จำคุก 10 ปี นอกจากนี้ นายประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 ยังมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าและฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นโทษหนักสุด ให้ลงโทษประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ให้ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต ส่วนนายสิทธิพร หรือจ่ามี จำเลยที่ 2 และนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ จำเลยที่ 3 มีความผิดฐาน ร่วมกันเป็นผู้จ้างวานฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิต และริบของกลางที่เป็นอุปกรณ์ในการประกอบวัตถุระเบิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตนายสิทธิพร หรือจ่ามี กับนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ จำเลยทั้งคู่อยู่ในอาการนิ่งสงบ ในขณะที่ญาติคนใกล้ชิดจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์แสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกรูกันเข้าห้อมล้อม นายสิทธิพรกับนายเอกสิทธิ์ ขณะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวออกจากห้องพิจารณา เพื่อขวางกันปัดป้อง ไม่ให้สื่อมวลชนเข้าซักถาม หรือถ่ายภาพ

"ยังหลบหนีอีก 1"


ด้านนางคมคาย พลบุตร เปิดใจกล่าวว่า ทุกคนในครอบครัวเฝ้ารอวันนี้มานานถึง 9 ปี 2 เดือน ผลการตัดสินของศาลถือว่าสาสมกับสิ่งที่ได้ทำไป แต่คดีนี้ยังมีผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีการจับกุมอยู่อีก 1 คน คือ นายโสภณ หรือแดงฟู อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นผู้ร่วมทีมวางแผนสังหาร ซึ่งเห็นว่าตำรวจ สภ.อ.เมืองจันทบุรี ใช้เวลาติดตามผู้ต้องหานานมากแล้ว จึงอยากให้ทางตำรวจกองปราบฯช่วยติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้อีกทางหนึ่งโดยเร็ว

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 40 คนร้ายลอบวางระเบิดไว้ใต้ท้องรถเบนซ์ หมายสังหารนายสนิท เฟืองประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี แต่ผู้เคราะห์ร้ายเป็นนางปัทมา เฟืองประยูร อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ ภรรยานายสนิทเสียชีวิต เป็นคดีครึกโครมเนื่องจากผู้ตายเป็นมารดาของนางคมคาย พลบุตร อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ (ขณะเกิดเหตุ) ขับรถเบนซ์ของสามีไปเรียนหนังสือที่ ม.ราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี และชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ณรงค์วิช ไทยทอง ผช.อ.ตร.ปป.สมัยนั้น เข้ามาควบคุมคลี่คลายคดี จนกระทั่งทราบสาเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัว และขัดผลประโยชน์ทางการเมือง และติดตามจับกุมทีมสังหารดำเนินคดีได้เกือบหมด เหลือเพียงนายโสภณ ปัทมนุติ หรือแดงฟู คนสนิทของนักการเมืองอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์