โวยฝากประจำ22ปีขอเบิกหาย4แสนแบงก์เต้นขอตรวจสอบ

"ตรวจสอบหากผิดพลาดพร้อมจ่ายคืน"


นักธุรกิจเอสเอ็มอีโวย แบงก์กสิกรไทย ทำเงินฝากประจำ 22 ปี หายกว่า 4 แสนบาท ร้องเรียนนานกว่า 1 เดือน ไม่คืบหน้า แบงก์แจงให้สำนักงานกฎหมายตรวจข้อเท็จจริง หากเป็นความผิดพลาดของแบงก์ พร้อมจ่ายคืน

ปัญหาธนาคารพาณิชย์ถูกร้องเรียนเรื่องเงินฝากสูญหายยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ล่าสุดนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ร้องเรียนว่า ธนาคารกสิกรไทยทำเงินฝากประจำ 22 ปี หายไปกว่า 4 แสนบาท และเพิ่งมารู้ตัวว่าเงินหายเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นายเกริกไกร เดชธีรานุกูล วัย 49 ปี นักธุรกิจเอสเอ็มอีขายตลับลูกปืน เข้าร้องเรียนต่อ "คม ชัด ลึก" ว่าเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกสิกรไทย สาขาพหลโยธิน สูญหายไป 424,445 บาท โดยเมื่อ 22 ปีก่อน วันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ได้เปิดบัญชีเงินฝากประจำกับธนาคารดังกล่าวเป็นเงิน 220,630 บาท เพื่อค้ำประกันการทำธุรกิจเอสเอ็มอีของบริษัทวัฒนเดชเตียคุนเฮง ที่ผลิตลูกปืนจำหน่าย โดยเลือกฝากแบบประจำราย 12 เดือน

"ไม่เคยถอน 22 ปี พอถอนหาย 4 แสนกว่า"


นายเกริกไกร กล่าวว่า ตั้งแต่ฝากเงินครั้งแรกแล้วก็ไม่เคยนำเงินไปฝาก หรือถอนจากบัญชีนี้อีกเลย เป็นเวลานานถึง 22 ปี กระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีความจำเป็นต้องถอนเงินไปซื้อบ้านที่ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากไม่ได้ทำธุรกิจตลับลูกปืนอีกแล้ว จึงไปขอเบิกเงินพร้อมดอกเบี้ยที่ธนาคาร แต่พนักงานธนาคารแจ้งว่า บัญชีของตนถูกถอนไปหมดแล้วตั้งแต่สิบปีก่อน

"ผมรู้สึกตกใจมาก รีบขอเช็คสเตทเมนท์ ทำให้รู้ว่าปี 2527 ฝากเงินต้น 2.2 แสนบาท จนถึงปี 2537 ได้ดอกเบี้ยรวมเงินต้นเพิ่มเป็น 4.2 แสนบาท แต่ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 ถูกมือดีถอนเงินสดออกจากบัญชีจนเกลี้ยง ตอนแรกไปร้องเรียนกับผู้รับผิดชอบธนาคารกสิกรไทยหน่วยงานต่างๆ เกือบ 10 ครั้ง ใน 1 เดือน แต่เรื่องก็เงียบหาย เลยตัดสินใจว่า วันที่ 20 ธันวาคมนี้ จะไปประท้วงที่หน้ารัฐสถา และจะยื่นหนังสือถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมด้วย" นายเกริกไกร กล่าว

พร้อมกันนี้ นักธุรกิจเอสเอ็มอีได้นำเอกสารมาชี้แจงต่อหน้าผู้สื่อข่าวด้วย โดยเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นายเกริกไกรติดต่อกับหัวหน้าส่วน ฝ่ายลูกค้าผู้ประกอบการ 1 สายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ แต่ธนาคารขอเวลาตรวจสอบบัญชีดังกล่าว กระทั่งวันที่ 1 พฤศจิกายน จึงให้รายละเอียดว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 เงินในบัญชีถูกถอนไป 424,445.44 บาท ไม่เหลือติดบัญชีแม้แต่บาทเดียว ซึ่งเขาชี้แจงเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้เป็นผู้ถอนเงิน แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจ และยืนยันว่าเอกสารหลักฐานของผู้ถอนเงินถูกทำลายหมดแล้ว เพราะผ่านมาเกิน 10 ปี

"แจ้งธนาคารแล้วเรื่องหายเงียบ"


ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายเกริกไกรจึงตัดสินใจยื่นจดหมายร้องเรียนถึงนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารกสิกรไทย เพื่อขอตรวจสอบสาเหตุที่เงินหายไปจากบัญชีเงินฝากประจำ แต่เรื่องก็เงียบหายไปอีก กระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน จึงทำหนังสือถึงผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย เพื่อให้ธนาคารจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืน โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยขอตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมเป็นเวลา 3 สัปดาห์

จากนั้นผู้อำนวยการฝ่ายผู้บริหารเครือข่ายและการบริการและการขาย 1 สายงานธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการมาตรวจสอบว่า นายเกริกไกรประกอบอาชีพอะไร และก็ได้ยืนยันไปแล้วว่า ไม่ได้เป็นผู้ถอนเงินจากบัญชีนั้นจริง จนถึงขณะนี้เกินกำหนดนัดหมายแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ทั้งสิ้นจากธนาคาร

"ผมทวงถามให้ชดใช้เงินคืนหลายครั้ง แต่เจ้าของธนาคารและผู้บริหารธนาคารหลายคนกลับไม่ให้ความกระจ่างใดๆ ได้ และไม่มีความคืบหน้า วันนี้ผมยอมไม่ได้แล้ว เนื่องจากเป็นหยาดเหงื่อแรงกายของผม ผมเชื่อว่าในสังคมไทยมีคนเดือดร้อนจากธนาคารเช่นนี้อีกมาก ผมต้องการให้กรณีของผมเป็นตัวอย่าง ที่ธนาคารจะไม่ทำแบบนี้กับชาวบ้านคนอื่นๆ ในสังคมอีกต่อไป" นายเกริกไกร กล่าว

"ขอให้ธนาคารเร่งคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย"


นายเกริกไกร ยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องการเรียกร้องมี 3 ข้อคือ 1.ขอให้ธนาคารกสิกรไทยแสดงเอกสารหรือหลักฐานอื่นใดก็ได้ เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้เบิกถอนเงินจากบัญชีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 2.อยากให้ธนาคารกสิกรไทยเร่งคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย และจ่ายค่าเสียหายตามความเหมาะสม เนื่องจากจำเป็นต้องนำเงินมาทำธุรกิจและซื้อบ้านที่ จ.เชียงใหม่ 3.อยากให้ผู้เสียหายจากเงินในบัญชีธนาคารหาย มารวมตัวกันสร้าง "เครือข่ายผู้เสียหายจากเงินฝากธนาคาร" เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาและเรียกร้องให้ธนาคารทุกแห่งรับผิดชอบมากกว่านี้ โดยตนจะเป็นผู้ประสานงาน สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-6612-1132

ด้าน นายอุดมสิน ยาจารย์ ผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย สาขาพหลโยธิน ชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวว่า คดีของนายเกริกไกรได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานกฎหมายของธนาคารกสิกรไทยเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์หลักฐาน ถือเป็นความลับของลูกค้า ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากญาติพี่น้องที่ทำธุรกิจร่วมกัน อย่างไรก็ตามหากพิสูจน์ว่าเป็นความผิดพลาดของธนาคาร ทางธนาคารก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์