เผยหลักฐานมัดแกนนำเจไอบึ้มอิเหนาใช้แมริออทเป็นฐานบัญชาการ อินโดฯคุมเข้มรปภ. รร.-ห้างทั่วเกาะ


อินโดฯเผยมีหลักฐานมัดตัว"นูร์ดิน ท็อป"แกนนำกลุ่มเจไอบึ้มรร.หรู คาดใช้ห้องใน"แมริออท"เป็นฐานบัญชาการ เร่งหาตัวทูตออสซี่คาดเป็น1ในเหยื่อดับ สั่งห้างเพิ่มมาตรการรปภ.เข้ม "โอบามา"เดือด พร้อมหนุนอิเหนาทุกอย่าง

ความคืบหน้าในการสอบสวนหาผู้อยู่เบื้องหลังการลอบวางระเบิดโรงแรมเจดับบลิว แมริออท และโรงแรมริตซ์ คาร์ลตัน ใจกลางกรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 50 ราย ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าแม้จะยังคงไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ แต่ทางการอินโดนีเซียค่อนข้างเชื่อมั่นว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดครั้งนี้คือนายนูร์ดิน โมฮัมเหม็ด ท็อป หนึ่งในแกนนำสำคัญของกลุ่มเจมาห์อิสลามิยาห์ หรือเจไอ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุระเบิดในอินโดนีเซียมาแล้วหลายครั้ง

นายอาซียาด เอ็มไบ หัวหน้าต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงความมั่นคงของอินโดนีเซีย ระบุว่า มีหลักฐานที่เป็นตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนมากมายว่าเครือข่ายนายนูร์ดิน ท็อป เป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว ตั้งแต่รูปแบบของระเบิดทำเองและวิธีการใช้ระเบิดพลีชีพ ทั้งนี้ หากเป็นไปตามที่ทางการอินโดนีเซียเชื่อจริง เหตุระเบิดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 ในอินโดนีเซียที่กลุ่มของนายนูร์ดิน ท็อป อยู่เบื้องหลัง นับตั้งแต่เหตุระเบิดโรงแรมเจดับบลิว แมริออท ในปี 2546 เหตุระเบิดสถานทูตออสเตรเลียในปี 2547 และเหตุระเบิดร้านอาหารบนเกาะบาหลีเมื่อปี 2548 ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ราย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของอินโดนีเซียกำลังศึกษาระเบิดและอุปกรณ์ต่างๆ ที่พบในห้อง 1808 ของโรงแรมเจดับบลิว แมริออท ที่เชื่อว่ากลุ่มคนร้ายใช้เป็นฐานบัญชาการในการลงมือครั้งนี้ โดยผู้ก่อเหตุได้ปลอมตัวเป็นแขกเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าว 2 คืน ก่อนจะลงไปก่อเหตุภายในโรงแรม ส่วนระเบิดที่ทำขึ้นเองนั้นอัดแน่นด้วยตะปู สกรู รวมถึงกลอนประตู เพื่อเพิ่มอำนาจในการทำลายล้าง ซึ่งลักษณะของระเบิดเป็นรูปแบบเดียวกับที่พวกเจไอเคยใช้ในการลงมือในอดีต ทั้งยังเป็นระเบิดรูปแบบเดียวกับที่พบระหว่างการบุกเข้าทลายโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นฐานของเจไอในเกาะชวากลางเพื่อหาตัวนายนูร์ดิน ท็อป เมื่อเพียงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย

ตำรวจยังได้ตรวจสอบดีเอ็นเอบนหลักฐานที่พบรวมถึงชิ้นส่วนจากร่างผู้เสียชีวิตซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุระเบิดพลีชีพครั้งนี้ทั้งสองคน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซียยังสั่งการให้โรงแรมและห้างสรรพสินค้าทั่วอินโดนีเซียเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ขณะที่กองทัพอินโดนีเซียได้สั่งสนธิกำลังทหาร 500 นาย เพื่อสนับสนุนการทำงานของตำรวจในกรุงจาการ์ตาอีกด้วย ทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ต่างเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศท่ามกลางคำเตือนว่าอาจมีการโจมตีครั้งใหม่ตามมา แม้แต่โรงแรมในนครนิวยอร์กก็ยังเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าผู้บังคับการตำรวจในนิวยอร์กจะยืนยันว่ายังไม่ได้รับรายงานความเสี่ยงก็ตามที

สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 9 ราย มีชาวต่างชาติอยู่ 4 ราย คือชาวออสเตรเลีย 2 ราย ชาวนิวซีแลนด์และสิงคโปร์อีกประเทศละ 1 ราย นอกจากนี้ยังคาดว่านายเกรก เซนเจอร์ นักการทูตออสเตรเลียซึ่งขณะนี้ยังคงไม่พบตัวน่าจะเสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นด้วยแต่ยังไม่มีการยืนยันรายงานดังกล่าว ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บประกอบด้วยคนชาติออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา จีน อินเดีย อิตาลี นอร์เวย์ เกาหลีเหนือ เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา

เหตุระเบิดครั้งล่าสุดนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอินโดนีเซียโดยเฉพาะเกาะบาหลีที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สถานการณ์การท่องเที่ยวเพิ่งฟื้นตัวขึ้นหลังเหตุระเบิดครั้งใหญ่เมื่อปี 2545 ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ทำให้เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยในโรงแรมในระดับเดียวกับสนามบินน่าจะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักเดินทาง

วันเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอาเซียน ซึ่งกำลังจะมาร่วมการประชุมประจำปีที่ จ.ภูเก็ต ได้ร่วมกันออกถ้อยแถลงประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุระเบิดในกรุงจาการ์ตา พร้อมแสดงความสนับสนุนต่อความพยายามของรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างเต็มที่ในการนำผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ที่โหดร้ายดังกล่าวมาลงโทษ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนยังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนชาวอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัว พร้อมกับย้ำว่าอาเซียนจะยืนหยัดร่วมกับรัฐบาลและประชาชนอินโดนีเซียพร้อมกับรักษาความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับการก่อการร้ายในทุกรูปแบบต่อไป 

ขณะที่นานาชาติยังคงร่วมกันประณามผู้ก่อเหตุดังกล่าวพร้อมกับแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย โดยที่ประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ร่วมกันออกถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการก่อการร้ายดังกล่าว เช่นเดียวกับนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ซึ่งเคยใช้ชีวิตวัยเด็กในอินโดนีเซีย นอกจากจะประณามการกระทำดังกล่าวแล้วระบุว่าพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทุกอย่างตามที่รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการอีกด้วย รัฐบาลสหรัฐยังระบุด้วยว่า เหตุระเบิดครั้งล่าสุดในอินโดนีเซียเป็นบทพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังกลุ่มก่อการร้ายอย่างใกล้ชิด


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์