หวั่น..สิงหาเดือดสั่งคุมเข้มวินาศกรรมกรุง

วันนี้ 4 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวานนี้ ที่กองบัญชาการกองทัพบก

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะรองโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
แถลงผลการประชุมศอฉ.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะผอ.ศอฉ.เป็นประธานในการประชุมว่า ที่ประชุมด้านฝ่ายข่าวมีการรายงานสถานการณ์ต่างๆในรอบเดือนสิงหาคมนี้ว่า จะมีการรวมตัวกันในบางพื้นที่ และมีการจัดกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นจากหลายกลุ่ม เช่นทำบุญ เสวนา รวมถึงกลุ่มในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และในกรุงเทพ จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นสิ่งที่ควรระวังคือการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ต่างๆ และต้องเน้นการป้องกันการก่อวินาศกรรมเป็นหลัก  เพราะตลอดเดือนสิงหาคมจะมีงานพระราชพิธีที่สำคัญ จึงต้องเน้นดูแลรักษาความสงบเป็นพิเศษ

“ในที่ประชุม นายสุเทพแสดงความเป็นห่วงว่าจะช่วยกันดูแลพื้นที่ต่างๆอย่างไร เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ก่อความวุ่นวาย ทั้งนี้ทางตำรวจได้มีการสรุปว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 2 คดีหลัง มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นการสร้างสถานการณ์ นอกจากนี้จะมีการเพิ่มจุดตรวจ 26 จุด โดยจะให้สารวัตรทหารร่วมปฎิบัติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะเน้นบริเวณที่มีประชาชนพลุกพล่าน สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งชุมชน และเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่ตรวจวัตถุระเบิดทั้งตำรวจและทหารลงไปในพื้นที่ล่อแหลม เช่น บริเวณแยกราชประสงค์โดยรอบ แยกลาดพร้าว นอกจากนี้ ศอฉ.เน้นย้ำให้มุ่งเน้นในพื้นที่สำคัญเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง ทางราชการเป็นกรณีพิเศษ นอกเหนือจากบุคคลสำคัญที่ต้องดูแลอยู่แล้ว”พล.ต.ต.ปิยะ กล่าว

 พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังให้มีการประสานกับทางกรุงเทพมหานครให้มีการปรับเปลี่ยนถังขยะให้มีลักษณะโปร่งใส

และเพิ่มรอบการเก็บขยะให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุ รวมทั้งเพิ่มกล้องซีซีทีวีในทุกๆแห่งเพื่อป้องกันเหตุร้าย ทั้งตามร้านสะดวกซื้อ ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน  ห้างสรรพสินค้า และบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความรู้พนักงานเก็บขยะในเรื่องการสังเกตวัตถุต้องสงสัย นอกจากนี้ทางศอฉ.จะมีการเชิญผู้นำชุมชนมาให้ความรู้เพื่อช่วยสอดส่องดูแลด้วย ซึ่งศอฉ.ได้คาดว่าในเดือนสิงหาคม นี้น่าจะมีแนวโน้มจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ไม่หวังดี เจ้าหน้าที่จึงเพิ่มความเข้มในการปฎิบัติ

พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ในที่ประชุมผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 ได้ชี้แจงถึงเหตุระเบิดที่ห้างบิ๊กซีราชดำริ และที่ซอยรางน้ำ

ซึ่งทั้ง2 คดีมีความคืบหน้ามาก โดยได้มีการรวบรวมหลักฐานและพยานบุคคล ซึ่งคาดว่า มีความเกี่ยวพันกับคดีก่อนหน้าที่เคยเกิดขึ้น เช่น การวางระเบิดในถังขยะ รูปพรรณสัณฐานของคนก่อเหตุ ยานพาหนะที่ใช้ วัตถุระเบิดที่ใช้มีความคล้ายคลึงกันในหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุเกิดที่แคราย หน้าบ้านบุคคลสำคัญ ถนนประชาชื่น บ้านอดีตประธาน กกต. หรือบริเวณ สน. บางชัน ลุมพีนี ปทุมวัน และ สน.โคกคาม ซึ่งเบื้องต้นเหตุถระเบิดทั้งสองจุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สรุปว่า กลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลมากกว่าเรื่องส่วนตัว และมีความเชื่อมโยงกับเหตุการต่างๆก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้ง 2 คดีได้ส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เรียบร้อยแล้ว โดยผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ( รอง ผบ.ชน.) ประสานงานการปฎิบัติและรวบรวมหลักฐานต่างๆเพื่อให้การดำเนินการมีความชัดเจนมากขึ้น  โดยอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษได้รับดำเนินการและประสานกันอย่างใกล้ชิด

 รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุมศอฉ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์  อธิบดีสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

ได้เสนอยกเลิกข้อห้ามการทำธุรกรรมการเงินฯ ของผู้อยู่ในข่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายทั้ง 83 ราย โดยให้ พล.อ.อนุพงษ์  เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบสถานการณ์ได้ลงนามในคำสั่งแล้ว โดยทั้ง 83 รายประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ตรวจสอบแล้วไม่พบอะไร  กลุ่มที่ชี้แจงที่มาของเงินไม่ได้ และ กลุ่มที่ชี้แจงไม่ชัดเจน ซึ่งการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว เนื่องจากมีการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว และไม่ต้องการให้เห็นว่า ศอฉ.ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ  ซึ่งทั้ง 83 รายยังคงต้องดำเนินการทำธุรกรรมภายใต้การเฝ้าตรวจจากสถาบันการเงินที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อไป  ส่วนผลการตรวจสอบที่ดีเอสไอได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว หากรายใดพบหลักฐานการกระทำผิดก็จะเข้าสู่กระบวนการการดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อถามว่าทำไมเดือนส.ค.ถึงประเมินว่าจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบ

พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่าเนื่องจากที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นจากหลายกลุ่ม เลช่นทำบุญ เสวนา รวมกลุ่มในพื้นที่ต่างจังหวัด การไปแสดงความคิดเห็นมากขึ้น และในกทม.จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ต้องเน้นการป้องกันการวินาศกรรมเป็นหลัก  ส่วนเหตุระเบิดที่บิ๊กซี และห้างคิงพาวเวอร์ ซ.รางน้ำนั้น สรุปคือเป็นกลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลมากกว่าเรื่องส่วนตัว แต่ที่เป็นประโยชน์คือมีความเชื่อมโยงกับเหตุการต่างๆก่อนหน้านี้  ทั้งนี้ ทั้ง 2 คดีดังกล่าว ทางผอ.ศอฉ.มอบให้พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบชน.เป็นผู้แทน ส่วนกระทรวงยุติธรรมจะมีคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เข้ามาร่วมดำเนินการอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์