สั่งปาราชิกแล้ว เณรคำจบ ล่าผู้ร้ายข้ามแดน

สั่งปาราชิกแล้ว เณรคำจบ ล่าผู้ร้ายข้ามแดน



สั่งปาราชิกแล้ว เณรคำจบ ล่าผู้ร้ายข้ามแดน

คณะสงฆ์ชี้ชัด-ผิดเสพเมถุน 'พระผู้ใหญ่'แห่ขอคืนรถหรู ดีเอสไอลุยต่อ-ฟันคดีอาญา


เณรคำปิดฉาก คณะสงฆ์สั่งให้ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ กรณีเสพเมถุน ดีเอสไอเตรียมขออนุมัติออกหมายจับคดีอาญา ประสานขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนทันที คณะสงฆ์ศรีสะเกษ-อุบลฯ ประชุมกรณีอธิกรณ์พิจารณาพยานหลักฐานทั้งทางโลกและทางธรรม กระทั่งมีมติลงโทษสถานหนัก เจ้าคณะจังหวัดอุบลฯ ลงนามขับออกจากสังกัด พร้อมให้พระอุปัชฌาย์ตัดขาดความเป็นศิษย์-อาจารย์ สั่งตรวจสอบสมบัติที่พักสงฆ์ซ้ำ ผงะพบซื้อรถหรูกว่า 100 คัน มีพระผู้ใหญ่ติดต่อขอคืนแล้ว 3 


ดีเอสไอจ่อออกหมายจับ
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการสอบสวนพฤติกรรมและการกระทำโดยมิชอบของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ว่า ในวันจันทร์ที่ 15 ก.ค. จะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อพิจารณาออกหมายจับเณรคำ ในคดีความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยหญิงผู้เสียหายที่อ้างว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศจนมีลูกกับเณรคำ 1 คน จะเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษอย่างเป็นทางการ กับพนักงานสอบสวนดีเอสไอด้วย สำหรับการติดตามทรัพย์สินที่มีจำนวนมากนั้นอาจล่าช้าบ้าง เพราะทรัพย์สินถูกยักย้ายถ่ายโอนออกไป แต่ดีเอสไอยืนยันจะพยายามติดตามกลับมาให้ได้มากที่สุด 


ประสานส่งผู้ร้ายข้ามแดน
นายธาริตกล่าวต่อว่า ส่วนการนำตัวเณรคำกลับมาดำเนินคดีในประเทศนั้นได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการคดีต่างประเทศและอาชญา กรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ เป็นผู้รับผิดชอบประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นมีความเป็นไปได้ที่เณรคำจะถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะในต่างประเทศให้ความสำคัญกับคดีที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและคดีความผิดฐานฟอกเงิน 


ติดต่อขอคืนรถหรู 3 รายแล้ว
ด้าน พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ. สำนักคดีความมั่นคง กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากพระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับถวายรถยนต์จากนายวิรพลแสดงเจตนาจะขอคืนรถแล้ว 3 คัน โดยอ้างว่าไม่สบายใจ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาดีเอสไอพยายามให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายในการชี้แจงข้อเท็จจริง รวมถึงฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ซึ่งพนักงานสอบสวนพยายามติดต่อขอเข้าไปสอบปากคำที่บ้านหลายครั้ง แต่ญาติไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยินยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ ดังนั้น การดำเนินคดีดังกล่าวไม่ได้เป็นการสอบปากคำเพียงฝ่ายเดียว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ความร่วมมือและไม่ใช้โอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริงเอง 



ผงะพบซื้อรถกว่า 100 คัน
ขณะที่ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ. สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กล่าวว่า จากการแกะรอยการจัดซื้อรถยนต์หลายคันของเณรคำคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 100 คัน ซึ่งดีเอสไอ จะลงพื้นที่ติดตามข้อมูลให้ได้ครบทุกคัน รวมถึงเรียกตัวบุคคลที่เป็นคนใกล้ชิดหรือลูกศิษย์ที่เป็นธุระจัดการหาซื้อรถตามคำสั่งของเณรคำ มาสอบปากคำให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี เนื่องจากทราบว่าในการจัดซื้อรถแต่ละครั้งเณรคำจะใช้งานลูกศิษย์คนสนิทรายหนึ่งเป็นผู้จัดหาตามที่ กำหนดสเป๊กไว้ โดยเณรคำมีหน้าที่เพียงจ่ายเงินสดให้เท่านั้น ส่วนประเด็นการครอบครองเรือหรูนั้นในส่วนนี้ยังไม่มีความชัดเจน คงต้องตรวจสอบต่อไป 


รอดีเอ็นเอ'เณรคำ'เทียบ
นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยา ศาสตร์ เปิดเผยถึงการตรวจสอบดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ความเกี่ยวข้องทางสายเลือดของ เด็กชายที่อ้างว่าเกิดจากหญิงสาวที่มีความสัมพันธ์กับเณรคำ ว่า ขณะนี้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังรอวัตถุพยานของเณรคำ เพื่อนำมาเปรียบเทียบหาดีเอ็นเอพิสูจน์ความสัมพันธ์พ่อ แม่ ลูก เช่น แปรงสีฟัน หรือของใช้ส่วนตัวอื่น ซึ่งทราบว่าเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลไม่อนุมัติหมายค้นภายในกุฏิ ทำให้การตรวจสอบยังไม่คืบหน้า แต่ในส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้เริ่มตรวจดีเอ็นเอที่ได้จากเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มของหญิงสาวคนดังกล่าวและลูกชายไปล่วงหน้าแล้ว เพื่อยืนยันความเป็นแม่ลูกให้ชัดเจน สำหรับดีเอ็นเอจากพี่ชายต่างพ่อที่ยินยอมให้นำไปตรวจสอบนั้นอยู่ระหว่างรอผล


ศรีสะเกษประชุมอธิกรณ์
เวลา 10.30 น. ที่วัดป่าศรีสำราญ อ.เมืองศรีสะเกษ พระครูสิริวินัยวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ พร้อมด้วยพระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะ จ.ศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสอบสวน เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวน เพื่อร่วมกันพิจารณาอธิกรณ์หลวงปู่เณรคำ ซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดพระธรรมวินัยในเรื่องเสพเมถุน ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน โดยคณะกรรมการมีการนำเอาเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับมาจากสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และจากสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ศรีสะเกษ มาประกอบในการประชุม โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 40 นาที ก่อนเปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เพื่อให้ทราบถึงมติในครั้งนี้


ต้องปาราชิก-ถอดผ้าเหลือง
พระครูวัชรสิทธิคุณกล่าวภายหลังประชุม ว่า คณะสงฆ์นำเอกสารหลักฐานที่ได้จากการสอบสวน ทั้งฝ่ายบ้านเมือง สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ศรีสะเกษ มาประมวลพบว่ามีความผิดจริง เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องไปถึงพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นข้อประพฤติ ของพระภิกษุสงฆ์ ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อพระธรรมวินัย ข้อเสพเมถุนธรรม ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า ถ้าเกิดว่าภิกษุรูปใดนั้นได้เสพเมถุนธรรม ก็ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุในขณะนั้นทันที และถือว่าในวันนี้เป็นการลงมติและพิจารณาจากเอกสารหลักฐานการประชุม นำเอามาประชุมพิจารณากัน ซึ่งมติของคณะกรรมการเป็นเอกฉันท์ว่าให้เณรคำ ขาดจากความเป็นพระภิกษุด้วยต้องอาบัติปาราชิกในการเสพเมถุนตั้งแต่บัดนี้

จี้เอาผิดทางกฎหมายต่อ
พระครูวัชรสิทธิคุณกล่าวว่า การที่พระขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสมณภาวะ ในส่วนของบ้าน เมืองก็ดำเนินการไปตามกระบวนการ ซึ่งในส่วนของคณะสงฆ์ศรีสะเกษได้วินิจฉัยอาบัติตามพระธรรมวินัย ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีการแสดงไว้ในฝ่ายสงฆ์ศรีสะเกษ ถือว่าจบสิ้นกระบวนการ ซึ่งจะได้รายงานให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ได้รับทราบตามลำดับ ต่อไป ส่วนกรณีของสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ นั้น คณะสงฆ์ศรีสะเกษจะมีการประชุมพิจารณากันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยจะดำเนินการให้มีการตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบดูว่าขณะนี้มีการดำเนินการตั้งวัดไปถึงขั้นตอนใดแล้ว


สงฆ์อุบลฯขับออกจากวัด
วันเดียวกัน ที่วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ เจ้าคณะอำเภอม่วงสามสิบ และเป็นพระเลขาฯ คณะสงฆ์จังหวัด นำหนังสือคำสั่งที่ 1/2556 ให้พระวิรพล ฉัตติโก หรือพระเณรคำ พ้นจากการเป็นพระในปกครองของวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ และการปกครองของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตจังหวัดอุบลราชธานี เสนอให้พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัด และ เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อลงนาม


เสพเมถุน-ฟอกเงิน-ยาบ้า
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ค. คณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีมีหนังสือสั่งให้พระวิรพลเข้ามารายตัวชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาละเมิดพระธรรมวินัย เสพเมถุนกับสีกา ฟอกเงิน และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่พระวิรพลไม่มารายงานตัวตามคำสั่งภายในวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา จึงถือว่าพระวิรพลไม่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าอาวาส และไม่มีความประสงค์อยู่ในสังกัดของคณะสงฆ์จังหวัดแล้ว จึงให้ขับออกจากวัดและพ้นจากการปกครองของคณะสงฆ์ด้วย


สั่งลุยสำนักสงฆ์อีก 3 สาขา
นอกจากนี้ พระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ ยังนำหนังสือการตัดขาดจากการเป็นศิษย์กับอาจารย์ให้พระสุนาถมุนี เจ้าอาวาสวัดศรีนวล เจ้าคณะอำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเณรคำ ลงนามขับพ้นจากความเป็นพระในวันเดียวกัน ซึ่งจะมีผลให้พระเณรคำต้องหาพระอุปัชฌาย์ใหม่ภายใน 3 วัน ไม่เช่นนั้นก็จะสิ้นสภาพการเป็นพระโดยปริยาย 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน พระราชธรรมโกศลลงนามในคำสั่งให้มีการตรวจสอบที่พักสงฆ์สาขาของพระเณรคำ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดรวม 3 แห่ง คือ ที่ อ.วารินชำราบ อ.พิบูลมังสาหาร และ อ.สิรินธร เพื่อตรวจสอบสภาพที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งสอบถามเจ้าของที่ดินที่บริจาค ยังมีความประสงค์จะให้ใช้ตั้งเป็นวัดต่อไปหรือไม่


รายงานมหาเถรรับทราบ
ส่วนพระสงฆ์ที่อยู่ในสังกัดของพระเณรคำ ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 10 รูป ให้เข้ามารายงานตัวต่อเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อแสดงความประสงค์อยู่ในการปกครองของ คณะสงฆ์จังหวัดต่อไปด้วย โดยหนังสือคำสั่งที่ขับพระเณรคำออกจากการปกครอง คณะสงฆ์จังหวัดจะส่งไปให้เจ้าคณะจังหวัด ทั้งมหานิกายและธรรมยุต ทั้ง 77 จังหวัด รับทราบ รวมทั้งรายงานให้มหาเถรสมาคมทราบต่อไป


'เณรคำ'ยังล่องหนไร้ร่องรอย
พระราชธรรมโกศลกล่าวถึงการบวชใหม่หลังถูกขับของพระเณรคำ ว่า ตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อมีพระถูกขับจากการปกครองและตัดขาดจากการเป็นลูกศิษย์-อาจารย์ จะไม่มีพระรูปใดรับเป็นพระอุปัชฌาย์ เนื่องจากขัดธรรมเนียมปฏิบัติของมหาเถรสมาคม ส่วนพระเณรคำจะไปบวชกับนิกายอื่นที่ไม่อยู่ในสังกัดของพระไทยหรือไม่อาตมาตอบไม่ได้ จนถึงตอนนี้เณรคำก็ยังไม่ได้ติดต่อมาจึงมีหนังสือคำสั่งขับให้พ้นจากปกครองในวันนี้


สำนักสงฆ์อุบลฯปลดป้าย
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบที่พักสงฆ์ขันติบารมี สาขา 6 บ้านหนองฝาง ต.โพธิ์ใหญ่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลังเณรคำถูกตัดสินต้องปาราชิก มีความผิดร้ายแรง พบว่าบริเวณถนนทางเข้าวัด ซึ่งเดิมมีป้ายไม้ระบุชื่อเป็นวัดในสาขาของพระเณรคำ มีการรื้อป้ายออกแล้ว ส่วนป้ายไม้ขนาดใหญ่ทางเข้าวัดมีการนำสีแดงมาทาทับชื่อวัดสาขา และยังไม่มีการตั้งชื่อใหม่ ส่วนภายในที่พักสงฆ์ก็เหมือนวัดร้าง เพราะพระที่จำพรรษาอยู่ในสำนักสงฆ์ ต่างเดินทางกลับไปยังต้นสังกัดเดิม เพื่อเตรียมเอกสารการบวชมา แสดงและขอเข้าสังกัดในคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานีตามคำสั่งการ



ตั้งแต่สร้างเคยมาแค่ 2 ครั้ง
นายทอง ทองคำพิมพ์ อายุ 78 ปี ชาวบ้านหนองฝาง โยมอุปัฏฐาก เล่าว่า เดิมมีพระจำพรรษาอยู่ 5 รูป แต่ปัจจุบันเหลืออยู่รูปเดียว เพราะที่เหลือเดินทางกลับไปเตรียมเอกสารมารายงานตัวต่อเจ้าคณะจังหวัด เพื่อขอเข้ามาอยู่ในสังกัดอย่างถูกต้อง ทำให้ชาวบ้านต้องเข้ามาช่วยกันดูแลที่พักสงฆ์แห่งนี้ไว้ก่อน ตั้งแต่ตั้งที่พักสงฆ์แห่งนี้เณรคำเคยเดินทางมาเทศนาประมาณ 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นมาอีกเลย สำหรับพระพุทธรูปและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในวัดชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างเอง เพราะต้องการให้มีวัดอยู่ในหมู่บ้าน โดยเณรคำไม่ได้ช่วยเหลือแต่อย่างใด ส่วนชื่อวัดขณะนี้ยังไม่ได้ตั้ง และจะหารือยื่นเรื่องขอตั้งเป็นวัดอย่างถูกต้อง ต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานีต่อไป 

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์