สนธิ แฉกลางศาล กองปราบรับใบสั่งกลั่นแกล้งจับ-กักตัว

สนธิ แฉกลางศาล กองปราบรับใบสั่งกลั่นแกล้งจับ-กักตัว

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2549 17:29 น.

สนธิ เบิกความแฉกลางศาล ตำรวจกองปราบตั้งเป้าเพื่อจับกุมดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงให้ได้ ถือเป็นเจตนากลั่นแกล้ง ไม่ให้ความเป็นธรรม ยื้อเวลากักตัวถึง 5 ชั่วโมง

วันนี้ (22 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดแรกในคดีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป.ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยในวันนี้นายสนธิเดินทางไปศาลพร้อมนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ในขณะที่พนักงานอัยการซึ่งรับว่าความแก้ต่างแทนจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล โดยขออนุญาตศาลให้เลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้องออกไป แต่อนุญาตให้ฝ่ายโจทก์ ทำการไต่สวนพยานได้ และฝ่ายอัยการ จะทำการซักค้านในภายหลัง

นายสนธิ ขึ้นเบิกความในฐานะพยานว่า หลังจากที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งมีพยาน และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ถูกปลดออกจากผังรายการของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.2548 เนื่องจากมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการละเมิดพระราชอำนาจของรัฐบาลในขณะนั้น โดยเฉพาะการแต่งตั้งรักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช กรณีการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ออกจากตำแหน่ง และการที่นายกรัฐมนตรีเข้าไปทำพิธีภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การนำเสนอข้อมูลดังกล่าว ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ของพยาน ต่อมาได้มีการแจ้งความดำเนินคดี กับพยาน ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง จากกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่ามีการจัดตั้งขึ้น ตามสถานีตำรวจในหลายท้องที่ทั่วประเทศ จนนำมาสู่การขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดยโสธร แต่ในที่สุดศาลไม่อนุมัติ

นายสนธิ ซึ่งเป็นโจทก์ขึ้นเบิกความในฐานะพยานเบิกความต่อว่า ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่งกับพยานถึง 6 คดี จนกระทั่งมีกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงเรื่องพระราชอำนาจ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยอมถอนฟ้อง ขณะที่พนักงานสอบสวนก็ยุติการดำเนินคดีกับพยาน ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง

พยานเบิกความต่อว่า ต่อมาหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดให้พระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับที่รัฐบาลใช้ในการแปรรูป กฟผ.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานได้ออกมาเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบ โดยในการส่งพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทูลเกล้าฯถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ลงนามเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ดังนั้น พยานจึงได้เรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้นำของประเทศให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งในตอนนั้น สื่อมวลชนได้มาสัมภาษณ์พยาน ถึงเรื่องดังกล่าว ขณะที่จัดการชุมนุมอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และ นสพ.คมชัดลึก ได้นำไปลงตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 24 มี.ค.โดยมีการลงตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ในลักษณะสรุป ไม่ครบถ้วน ขาดถ้อยคำไปบางตอน และต่อมาทาง นสพ.คมชัดลึก ได้ออกแถลงงการณ์ชี้แจงความผิดพลาด เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2549 โดยรับว่า ได้ลงตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของพยาน ไม่ครบถ้วน เนื่องจากความประมาทเลินเล่อ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า คำให้สัมภาษณ์ของพยาน ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ต่อมา ได้มีกลุ่มคาราวานคนจน นำโดยกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าปิดล้อมที่ทำการและบังคับให้นสพ.คมชัดลึก ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2549 โดยระบุว่า นสพ.คมชัดลึกยืนยันว่า ข้อความที่ลงตีพิมพ์ ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของพยาน โดยสรุปจริง

พยานเบิกความอีกว่า ต่อจากนั้นได้มีการจัดตั้งกลุ่มบุคคลเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพยาน ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงอีกนับร้อยคดี ตามสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการออกมาให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นายเนวิน ชิดชอบ นายปลอดประสพ สุรัสวดี ทำนองว่า พยานกระทำผิดจริงขณะนั้น จำเลยมีหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน ทำหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีดังกล่าว จำเลยซึ่งมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากมีภรรยาเป็นญาติผู้น้องของนายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเป็นหนึ่งในพนักงานสอบสวน คดีที่พยานถูกกล่าวหา ว่า หมิ่นพระมหากษัตริย์ โดยเมื่อวันที่ 18 เม.ย.จำเลย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนงทำนองยืนยันความผิดของพยาน โดยมีข้อความตอนหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ระบุว่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พนักงานสอบสวนเลือกปฏิบัติหรือไม่ ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายสนธิ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดูหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งจำเลยตอบด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า พูดหมิ่นตรงไหน ให้บอกรายละเอียดมา หมิ่นตรงไหน ที่ผ่านมา ไม่มีใครพูดหมิ่นชัดเจนเท่ากับนายสนธิแล้ว ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ ไม่ได้เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม แต่เป็นการใส่ความพยาน ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ ต่อหน้าบุคคลอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และเชื่อว่า พยานกระทำผิดโดยการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์จริง อีกทั้งยังทำให้ประชาชนชาวไทย ที่รักในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่เข้าใจข้อเท็จจริง เกลียดชังพยาน

นายสนธิ เบิกความต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของพนักงานสอบสวน จำเลยได้ออกหมายเรียกให้พยานไปพบ ที่กองบังคับการกองปราบปราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 17 เม.ย.2549 ซึ่งขณะนั้น พยานเดินทางไปต่างประเทศ จึงมอบให้ทนายความส่งหนังสือเลื่อนนัดออกไป เป็นวันที่ 17 พ.ค.2549 แต่ปรากฏว่าจำเลยกลับระบุว่าคดีนี้มีหลักฐานกระทำผิดชัดเจน ดังนั้น จึงจะออกหมายเรียกพยานเป็นครั้งที่ 2 หากไม่มาเข้าพบ จะออกหมายจับ โดยไม่ได้ชี้แจงเหตุผลที่ไม่อนุญาตให้พยานเลื่อนนัด ซึ่งการกระทำของจำเลย ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า พยานหลบเลี่ยงหมายเรียกของจำเลย ทั้งที่ยังไม่มีการจับกุมแจ้งข้อกล่าวหา และต่อมา เมื่อศาลอนุมัติหมายจับพยาน โดยพยานได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตั้งแต่เวลา 15.00 น.ของวันที่ 26 เม.ย.พนักงานสอบสวนกลับกลั่นแกล้งโดยการยื้อเวลาออกไปถึง 5 ชั่วโมง จึงยอมอนุมัติให้ประกันตัวพยาน โดยอ้างว่า ต้องให้ผบ.ตร.เป็นผู้เซ็นรับทราบคำสั่งให้ประกันตัว ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เหมือนมีการวางเป้าหมายไว้แล้วว่า จะต้องดำเนินคดีกับพยานให้ได้ ซึ่งพยานมองว่า ถือเป็นการเจตนากลั่นแกล้ง บีบบังคับไม่ให้ความเป็นธรรมกับพยาน และทำให้พยานเสียหายอย่างชัดเจน เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลดังกล่าว

หลัง นายสนธิ เบิกความในฐานะพยานโจทก์ปากแรกเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดต่อไปในวันที่ 18 ก.ค.เวลา 09.00 น.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์