ลูกเมียเสี่ยบินกลับ โต้ถูกลวง ร่างทรงแขกมาด้วย

รุดพบตร.แฉเบื่อแข้งผัว เลยหอบลูกหนีไปอินเดีย หมอผีแค่คอยช่วยเหลือ ยันไม่เคยหลอกเอาเงิน



กลับมาแล้วลูกเมียเสี่ยอะไหล่ ที่ผัวร้องสงสัยร่างทรงแขกล่อลวงไปอินเดีย เมียพาลูกๆบินกลับมาถึงเมืองไทยพร้อมร่างทรงชาวอินเดีย

เข้าพบตร.ก่อนเปิดแถลง ยอมรับหอบลูกๆไปอินเดียจริง

แต่ไม่ได้ถูกล่อลวง ที่ต้องไปเพราะหนีถูกเสี่ยซ้อมและกดดันมาตลอด ทนมากว่า 20 ปีจนทนไม่ไหว ต่อมามีเพื่อนแนะให้ไปพบอาจารย์ เห็นว่าเป็นคนดีจึงให้ทำเรื่องไปอินเดียให้ แล้วหลอกผัวว่าจะพาลูกไปบ้านเพื่อน ก่อนบินไปนอก คิดว่าเรื่องจะเงียบแต่กลับเป็นข่าวใหญ่โต จึงต้องกลับมา ยืนยันหย่าผัวแน่

จากกรณีนายเศรษฐา ภูมิปัญจทรัพย์ อายุ 52 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 671/167 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม. เสี่ยเจ้าของร้านอะไหล่รถจักรยานยนต์ เข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (บก.ปดส.)

ว่าภรรยาคือนางนันทนา ภูมิปัญจทรัพย์ อายุ 45 ปี

และลูกๆคือน.ส.นวลจุฑา อายุ 18 ปี น.ส.ณิชารีย์ อายุ 15 ปี และด.ช.ธนธัต อายุ 10 ปี หายไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมทรัพย์สินเงินสด เพชร ทองแท่ง รวมกว่า 6 ล้านบาท

เชื่อว่าถูกนายดาโม ดาดาส ร่างทรงชาวอินเดียล่อลวงไป

หลังจากนางนันทนาเกิดไปเลื่อมใสเทพเจ้าศาสนาฮินดู และได้พบนายดาโม ที่อาศรมย่านวัดแขก นายดาโมได้หว่านล้อมนางนัทนาจนเกิดศรัทธาอย่างรุนแรง ถึงขนาดบริจาคเงินครั้งละเป็นแสนๆบาท



และยังชักจูงจนลูกๆศรัทธาไปด้วย

ก่อนทั้งหมดจะหายตัวไป ล่าสุดนางนันทนาโทรศัพท์มาหาน้องสาว ร่ำไห้บอกว่าอยากกลับบ้าน ก่อนสายโทรศัพท์จะโดนตัดไป ตามข่าวที่เสนอไปแล้ว

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อเวลา 13.00 น.

วันที่ 18 พ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐาเข้าพบกับพล.ต.ท.รณรงค์ ยั่งยืน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีการหายตัวไปของภรรยาและบุตร

ที่คาดว่าน่าจะถูกร่างทรงชาวอินเดียหลอกลวง

ไปต่างประเทศพร้อมทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งพล.ต.ท.รณรงค์ ได้รับเรื่องไว้ และมอบหมายให้พล.ต.ต.จรัมพร สุระมณี รองผบช.ก เป็นผู้ดูแล จากนั้นนายเศรษฐาจึงเดินทางกลับ

ต่อมาเวลา 14.00 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

นางนันทนา พร้อมด้วยลูกๆทั้ง 3 คน และนายดามา ดาร์ดาส แบรมแมคชารี นักบวชศาสนาฮินดู ลัทธิฮาเลกฤษณะ เดินทางจากประเทศอินเดียกลับมายังประเทศไทยด้วยสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ IC 731 กัลกัตตา-กรุงเทพ

เมื่อทั้งหมดเดินทางผ่านช่องตรวจค้นเข้าเมือง

เจ้าหน้าที่ประจำด่านที่ทราบข่าว จึงได้แจ้งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชา สตม.จึงประสานไปที่บก.ปดส. ที่รับแจ้งการหายตัวไปของนางนันทนา จากนั้นจึงให้นางนันทติดต่อไปยัง พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.ปดส. เพื่อเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งหมดจึงได้เดินทางมาที่กองบังคับการปดส.



เมื่อเดินทางมาถึง นางนันทนา ลูกสาวลูกชาย

พร้อมด้วยนายดามา และทนายความของนางนันทนา เข้าพบพล.ต.ต.วิมล พ.ต.อ.ทวิชชาติ พละศักดิ์ พ.ต.อ.ทรงวุฒิ ถวัลย์กิจดำงรค์ รองผบก.ปดส. พ.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ผกก.1 พ.ต.ท.นิพนธ์ เจริญศิลป์ รองผกก.1 พ.ต.ท.มีชัย ศรุตานันทะ พงส.(สบ3)กลุ่มงานสอบสวน ปดส.

เพื่อชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แยกลูกๆของนางนันทนาไปนั่งพักอยู่อีกห้องหนึ่ง จากนั้นจึงร่วมกันซักถามนางนันทนาและนายดามาอย่างเคร่งเครียด ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ตำรวจซักถาม นางนันทนามีอาการเศร้าโศก น้ำตาคลอเบ้าอยู่เป็นระยะ ส่วนนายดามาอยู่ในอาการสงบ


ระหว่างนั้นพล.ต.ต.จรัมพร สุระมณี รองผบช.ก.

นำตัวนายเศรษฐามายังบก.ปดส. โดยให้นายเศรษฐาไปนั่งรออยู่ในห้องของผบก.ปดส.ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน จากนั้นพล.ต.ต.จรัมพรได้มาร่วมสอบสวนนางนันทนาอย่างละเอียด ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น และอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าซักถามข้อเท็จจริงจากนางนันทนา และนายดามาได้

พล.ต.ต.จรัมพร กล่าวว่า กรณีดังกล่าว

ผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้บช.ก.รับผิดชอบดำเนินการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบก.ปดส.ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด กระทั่งทราบว่า นางนันทนา ลูกๆ และนายดามาเดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.

โดยสายการบินแอร์อินเดียเที่ยวบินที่ 731

จึงให้ทั้งหมดมาที่บก.ปดส. เพื่อสอบถามรายละเอียด จากข้อเท็จจริง ตำรวจได้สอบสวนทั้งสองฝ่ายแล้ว ได้ความว่าข้อเท็จจริงอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง หลังจากรับคำร้องทุกข์ของนายเศรษฐาแล้วได้มีการสอบสวนเรื่อยมา



และเมื่อมีการสอบถามภรรยาและลูกๆนายเศรษฐาแล้ว

ก็ทราบว่าการเดินทางไปประเทศอินเดียของนางนันทนาและลูกๆนั้นเป็นไปด้วยความสมัครใจ ส่วนเรื่องทางคดีนั้นคงต้องสอบสวนเพิ่มเติม แต่จะไม่มีการขออนุมัติจับกุมผู้ใดทั้งสิ้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ต้องแก้ปัญหากันเอง

ด้านนางนันทนา กล่าวว่า สาเหตุที่สามีมาร้องทุกข์

ว่าตนและลูกๆหายตัวไปนั้น น่าจะเป็นเพราะพวกตนหายไป ก่อนหน้านี้ได้เขียนจดหมายหลอกสามีว่าจะไปงานทำบุญบ้านเพื่อน แต่จริงๆต้องการเดินทางออกนอกประเทศ สาเหตุเพราะตนกับสามี มีปัญหาในครอบครัวกันมา

เนิ่นนานถึง 20 กว่าปี ปัญหาที่ว่าคือ

มีการทำร้ายร่างกายและกดดันทางจิตใจตลอดเวลา จึงตัดสินใจเขียนจดหมายหลอกสามี และคิดว่าหากเดินทางไปแล้วสามีตามตัวไม่เจอ เรื่องก็จะเงียบไปเอง

นางนันทนา กล่าวด้วยว่า ในการเดินทางนั้น

มีนายดามา หรือที่ตนเรียกว่าอาจารย์ดาส ซึ่งเป็นบุคคลที่เคารพนับถือเป็นคนพาไป และเป็นธุระในเรื่องการพาลูกๆทั้งหมดไปด้วยเพราะไม่ต้องการทิ้งลูกเอาไว้ เมื่อไปถึงอินเดียได้ไปหาบ้านเช่าในเมืองกัลกัตตา

และตั้งใจจะให้ลูกๆเรียนที่นั่น

ส่วนที่มีข่าวว่ามีการหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปนั้นขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ถึงตอนนี้แล้วไม่ต้องการที่จะพบสามีและไม่อยากเห็นหน้า แต่ที่เดินทางกลับมานั้นเพราะทราบข่าวว่าสามีไประรานถึงที่อยู่ของอาจารย์



เมื่อทราบว่าอาจารย์ดาสจะเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันนี้

ประกอบกับเพื่อนๆที่อยู่ประเทศไทยส่งข่าวไปให้ทราบว่ามีเรื่องครอบครัวเป็นข่าว จึงทำให้ตนเหมือนถูกบีบจนทนไม่ไหว จึงตัดสินกลับมาพร้อมกับอาจารย์ดาสเพื่อมาชี้แจง

"ขอยืนยันว่าอาจารย์ดาสเป็นคนดี

และมีครอบครัวที่อบอุ่นมาก ภรรยาของอาจารย์ทราบเรื่องของดิฉันดี ดิฉันเคยโทร.ไปหาอาจารย์บ่อยครั้ง ภรรยาเขาก็ไม่เคยว่าอะไรแถมยังให้กำลังใจมาตลอด คนเราเมื่อถึงที่สุดไม่มีทางที่จะเลือกก็ต้องทำ

คนงานในบ้านก็ขอออกกันหมดเลย

ดิฉันทนสภาพครอบครัวไม่ไหวแล้ว ก็เลยหาทางออกว่าจะเลือกไปประเทศไหน แต่ไม่ค่อยรู้จักที่ๆจะไป ถ้าไปก็จะไปได้คนเดียว พอดีเพื่อนของพี่แนะนำว่าให้ไปหาอาจารย์ดาส ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน

เมื่อพบอาจารย์แล้วก็เห็นว่าเป็นคนดีไม่มีอะไร

ถ้าไปอินเดียอาจไปได้ทั้งหมดแม่ลูก ก็เลยขอร้องให้อาจารย์ทำเรื่องการเดินทางให้ เรื่องทั้งหมดนี้เชื่อมั่นในตัวเพื่อน เมื่อถึงที่สุดของชีวิตก็เลยตัดสินใจทำไป จริงๆรักเมืองไทย

แต่ถ้าจะอยู่ก็ต้องมั่นใจว่าที่นี่ปลอดภัย

หลังจากนี้คงจะฟ้องหย่าสามี ส่วนลูกๆทุกคนดิฉันจะดูแลเอง ยังไม่รู้จะทำอย่างไร ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต" นางนันทนากล่าว



นายดามา กล่าวว่า เมื่อทราบว่านางนันทา

ต้องการเดินทางไปประเทศอินเดีย ก็รู้สึกดีใจและอยากต้อนรับ เพราะปกติชาวอินเดียเดินทางมาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ค่อยมีคนไทยไปอินเดีย อยากให้รู้ว่าคนอินเดียมีจิตใจเมตตา

ต้องการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก

ซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาด้วย ส่วนเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าไปหลอกเงินนางนันทนานั้นไม่เป็นความจริง แม้แต่เงินเล็กๆน้อยๆก็ไม่เคยรับ แต่ถ้าหากเป็นการทำบุญก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ขอยืนยันว่าไม่เคยมีการเรียกรับทรัพย์สินจากนางนันทนาแต่อย่างใด

ด้านนายเศรษฐายืนยันว่า จะขอดำเนินการ

ตามที่ได้ร้องทุกข์ไว้กับตำรวจต่อไป เพราะเชื่อว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ โดยเฉพาะเรื่องการหลอกหลวงเอาทรัพย์สินไปตามที่ได้แจ้งความไว้ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง เงินสด เครื่องเพชร ส่วนสาเหตุที่ภรรยาให้การกับตำรวจตรงข้ามนั้น

เชื่อว่าคงมีการเตรียมกันมาก่อน

สำหรับเรื่องที่ว่าตนทำร้ายร่างกายภรรยานั้น ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรง ที่มีปัญหาทะเลาะกันส่วนใหญ่มาจากเรื่องที่ตนต้องการให้เก็บทรัพย์สินไว้เพื่ออนาคตของลูกๆ แต่นางนันทนาก็แบ่งไปทำบุญบริจาค ส่วนการที่ภรรยาจะขอฟ้องหย่า คงไปห้ามไม่ได้ แต่ลึกๆแล้วก็รู้สึกดีใจที่ภรรยาและลูกทั้งสามคนกลับมาอย่างปลอดภัย

หลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว

ทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันกลับไป โดยนางนันทนา พร้อมด้วยลูกๆและนายดามานั่งรถไปทางหนึ่ง ส่วนนายเศรษฐาขับรถไปอีกทางหนึ่ง



วันเดียวกันที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือวัดแขก

แขวงสีลม เขตบางรัก บรรยากาศตั้งแต่เช้าหลังวัดเปิดให้ประชาชนเข้ามาไหว้พระศรีมหาอุมาเทวี ปรากฏว่ามีประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก เดินทางมากราบขอพรจากองค์พระศรีมหาอุมาเทวี รวมทั้งนายนิธิชัย ยศอมรสุนทร หรือ"หยวน ดรากอนไฟว์" นักแสดงหนุ่ม ที่มาไหว้พร้อมดารานางแบบ "เมาท์ซี่" น.ส.เบญจวรรณ เทิดทูนกูล แฟนสาว

"หยวน ดรากอนไฟว์" เปิดเผยว่า

ปกติจะเดินทางมากราบไหว้ขอพรจากองค์พระมหาอุมาเทวีทุกวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันไหว้องค์อุมาฯ ถ้าไม่มากับเพื่อนก็จะมากับแม่บุญธรรมเพราะเลื่อมใสศรัธาประกอบกับตนมีอาชีพเป็นนักแสดงด้วย ไม่ได้มากราบขอเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อมาแล้วสบายใจ

ต่อมานายสุรพงษ์ สิริธรกุล อายุ 53 ปี

เลขานุการวัดพระศรีมหาอุมาเทวี นำผู้สื่อข่าวเข้าไปดูการประกอบพิธีด้านในโบสถ์ โดยที่ผนังโบสถ์ติดข้อความมีใจความว่า "เนื่องจากได้มีบุคคล ชาวอินเดีย และอื่นๆหลายท่าน ได้แอบอ้างเอาชื่อวัดไปขอรับบริจาคจากบุคคลภายนอก

คณะกรรมการวัดขอประกาศให้ทราบว่า

ทางวัดไม่เคยมีนโยบายที่จะส่งคนไปขอรับบริจาคนอกวัดเป็นอันขาด โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลดังกล่าว หากท่านพบเห็นและจับได้ทางวัดจะให้รางวัลนำจับ 10,000 บาท ประกาศ ณ วันที่ 16 ก.ค.2549"

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากข่าวที่ออกมา

ต้องขอความเป็นธรรมกับวัดแขกด้วย เพราะที่วัดไม่มีนโยบายไปขอบริจาคจากใคร อีกทั้งติดป้ายประกาศเตือนให้ประชาชนที่มากราบไหว้พระอุมาเทวีให้ทราบอย่างชัดเจน ถ้าใครอ่านก็จะทราบ



หากมีใครมาหลอกลวงยังสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของวัดได้

ส่วนคนที่หลอกลวงมาอ้างว่าเป็นร่างทรงของวัดนั้นไม่เป็นความจริง ร่างทรงของวัดแขกหรือพราหมณ์ที่ประกอบพิธีจะไม่สามารถออกนอกวัดได้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งผู้ที่อ้างว่าเป็นร่างทรงจะเข้ามาทรงเจ้าภายในวัดก็ไม่ได้เช่นกัน

ที่ผ่านมาวัดจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.ยานนาวา

จำนวน 2-3 นาย มาเฝ้าทุกวันตั้งแต่เวลาเปิดจนถึงเวลาปิด เรื่องที่เกิดขึ้นวัดไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยอย่างแน่นอน วัดสร้างมากว่า 100 ปีถือเป็นสถาบันที่เก่าแก่รองจากโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า อีกอย่างทางวัดไม่ได้มีการเรียกร้องขอบริจาคอะไร คนมาทำบุญแค่ซื้อชุดบูชาชุดละ 60 บาทเท่านั้น เชื่อว่าการหลอกลวงไม่ได้เกิดขึ้นที่วัดแน่นอน

ด.ต.นิพนธ์ นาคะ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ยานนาวา

ที่มาดูแลความเรียบร้อยในวัด เปิดเผยว่า มีหน้าที่ดูแลภายในวัดมานาน เรื่องร่างทรงที่วัดไม่มีอย่างแน่นอน เมื่อมีใครมาทำตัวเป็นร่างทรงตนจะลากตัวออกไปนอกวัดทันที ส่วนผู้หญิงที่หายไปนั้นไม่เคยเห็น เพราะคนไทยที่เข้ามากราบไหว้ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกันหมด และเท่าที่ทราบไม่เคยมีข่าวว่ามีร่างทรงมาพักอาศัยอยู่ใกล้กับวัดแขกแต่อย่างใด

นางสุมนมาศ วุฒิสง่าธรรม ผอ.โรงเรียนสตรีวัดระฆัง

เขตบางกอกใหญ่ กทม. กล่าวว่า สำหรับลูกๆของนายเศรษฐา 2 คน คนแรกคือน.ส.นวลจุฑา เพิ่งจบการศึกษาชั้นม.6 จากโรงเรียน ส่วนน.ส.ณิชารีย์ กำลังศึกษาอยู่ชั้นม.4 รู้สึกเป็นห่วงลูกศิษย์ทั้ง 2 คน

ทั้งนี้โรงเรียนเปิดภาคเรียนแล้วตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.

โดยนายเศรษฐามาสอบถามอาจารย์ฝ่ายปกครองว่าน.ส.ณิชารีย์มามอบตัวหรือยัง ทางโรงเรียนแจ้งไปว่านักเรียนยังไม่มาติดต่อแต่อย่างใด นายเศรษฐายังบอกว่าสงสัยเดินทางไปต่างประเทศกับมารดา



นางสุมนมาศกล่าวว่า จากการสอบถามอาจารย์ประจำชั้น

ของน.ส.นวลจุฑาทราบว่า เป็นเด็กเรียนดี พฤติกรรมเรียบร้อย มีความสนใจด้านภาษา เคยเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษด้วย ระหว่างที่เรียนก่อนจบชั้นม.6 มักจะชอบสอบถามอาจารย์ประจำชั้นว่า

เทพเจ้าทางศาสนาฮินดูมีองค์ใดบ้าง

และแต่ละองค์มีความวิเศษอย่างไร แต่ไม่มีพฤติกรรมอะไรที่ผิดปกติ หรือผลการเรียนอ่อนลงแต่อย่างใด ส่วนน.ส.ณิชารีย์จบชั้นม.3ของโรงเรียนและเข้าเรียนต่อชั้น ม.4 ก็เป็นเด็กเรียบร้อยเรียนดีเช่นเดียวกัน

ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)

นางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวถึงกรณีครอบครัวนายเศรษฐา ว่า ปัญหาดังกล่าวน่าเป็นห่วง มีหลายรายที่ผู้หญิงถูกร่างทรงหลอกลวงหรือมีความเชื่อถือศรัทธาในเรื่องไสยศาสตร์

จนต้องสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก

สังคมไทยมีความเชื่อเรื่องแบบนี้มานานมากจนถึงขั้นครอบงำ โดยเฉพาะผู้หญิงโดยตัวตนจะเชื่อคนง่าย เพราะมีความอ่อนแอทางจิตใจ ต้องการที่พึ่งทางใจ เมื่อร่างทรงพูดจาหว่านล้อมทำให้ลุ่มหลงได้ง่าย

ขณะนี้มีผู้หญิงจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ

เช่นร่างทรงหลอกลวงทำเสน่ห์ มนต์ดำให้ผู้หญิงเพื่อมัดใจสามี หรือให้ช่วยตามสามีกลับมา จนต้องเสียทั้งทรัพย์เสียทั้งตัว กรณีนี้น่าจะเป็นบทเรียนกับครอบครัวอื่นๆเร่งสำรวจคนในครอบครัวตัวเอง หากพบผิดสังเกตหรืออาจถูกล่อลวงต้องหาทางป้องกันช่วยเหลือโดยด่วน



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์