ยิงกัปตัน-ปืนกล็อก มีเลเซอร์ ล่าฟอร์จูนเนอร์

หาหลักฐาน - ตำรวจสน.ประเวศ พร้อมด้วยร.ท.พูลวิทย์ เรืองเดช
กัปตันการบินไทย ผู้เสียหาย ปูพรมค้นหาปลอกและหัวกระสุนที่มือปืน
ฟอร์จูนเนอร์ ป้ายแดง ไล่ยิงบนถนนมอเตอร์เวย์ เมื่อวันที่ 14 ม.ค.

ประสานบ.โตโยต้า หาเบาะแสคนซื้อรถฟอร์จูนเนอร์สีขาว มือปืนยิงถล่มรถกัปตันการบินไทยบนถนนมอเตอร์เวย์ เพราะไม่พอใจเรื่องกะพริบไฟหน้าใส่

ตร. ประชุมหาแนวทางล่าตัวพร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดแต่ยังไม่พบรถต้องสงสัย คาดเลี้ยวออกจากมอเตอร์เวย์ไปทางลาดกระบังเพราะเป็นจุด ที่ไม่มีกล้องติดตั้งอยู่ แฉคนร้ายใช้ปืนขนาด 9 ม.ม. คาดเป็นปืนกล็อก รุ่นที่มีแสงเลเซอร์ชี้เป้า ขนส่งเตือนรถติดตั้งไฟฟ้าแบบซีนอน และปรับให้สูงกว่าปกติจนแยงตารถคันอื่นมีโทษ ประสานศูนย์ตรวจสภาพรถให้เจ้าของรถแก้ไขหากติดตั้งผิดกฎหมาย

จากเหตุการณ์มือปืนขับรถฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ป้ายแดง ไล่ยิงถล่มรถเก๋ง ร.ท.พูลวิทย์ เรืองเดช อายุ 53 ปี กัปตันเครื่องบินสายการบิน ไทย จนได้รับบาดเจ็บบนถนนมอเตอร์เวย์ สาเหตุเกิดเหตุจาก ร.ท.พูลวิทย์ กะพริบไฟใส่เป็นการ เตือนเพราะรถฟอร์จูนเนอร์ใช้ไฟซีนอน และตั้งไฟสูงจนแยงตารถคันหน้า ทำให้มือปืนไม่พอใจยิงแสงเลเซอร์เข้ามาในรถ ร.ท.พูลวิทย์ จึงใช้ไฟฉายส่องกลับไป คนร้ายก็ขับรถไล่ยิงระยะทางไกลถึง 7 ก.ม. ก่อนที่ร.ท.พูลวิทย์ จะ เลี้ยวรถหนีเข้าสนามบินสุวรรณภูมิรอดมาได้หวุดหวิดนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 14 ม.ค. พ.ต.อ. อาณัติ เกล็ดมณี รองผบก.น.4 พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส ผกก.สน.ประเวศ พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน ผกก.สส.บก.น.3 รรท.ผกก. สส.บก.น.4 พ.ต.ท.เหรียญชัย เหล่าที สวส.สน. ประเวศ

พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายที่สน. ประเวศใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังชิญตัว ร.ท.พูลวิทย์ เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ.อาณัติ กล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่าให้ร.ท.พูลวิทย์ บอกข้อมูลว่าเริ่มถูกยิงจาก ตรงไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 15 นายมาดำเนินการตรวจหาปลอกกระสุน โดยนำเครื่องเอกซเรย์จำนวน 2 เครื่องมาตรวจหา กำหนดพิกัดจุดบริเวณไหล่ถนน ตั้งแต่บริเวณใต้สะพานวง แหวนถนนมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร

สำหรับอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ น่าจะเป็นขนาด 9 ม.ม. เนื่องจากมีหัวกระสุนที่บาดแผลของร.ท. พูลวิทย์ จำนวน 1 หัว ส่วนอีก 1 หัวไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากคนร้ายยิงใส่บริเวณดุมล้อรถยนต์ด้านหลังซ้าย ซึ่งหัวกระสุนบี้แบน

"ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดนั้น หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาภาพรถคนร้ายทันที แต่ถนนมอเตอร์เวย์ไม่มีกล้องวงจรปิด มีที่ด่านทับช้างเพียงจุดเดียว แต่ก็ไม่พบภาพของรถยนต์คนร้าย" พ.ต.อ.อาณัติกล่าวและว่า ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากการขับรถปาดกันทำให้คนร้ายอาจเกิดบันดาลโทสะ ส่วนสาเหตุอื่นเจ้าหน้าที่ยังไม่พบ ส่วนที่ว่าคนร้ายอาจจะมีคนมีสีนั้น อาจจะเป็นใครก็ได้ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานไปยังบริษัทรถยนต์ โตโยต้า เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้เช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน

ด้านพ.ต.อ.เทียนชัย กล่าวว่า หลังเกิดเหตุสอบปากคำผู้เสียหายอย่างละเอียด รวมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเท่าที่มีอยู่ โดยเฉพาะบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทาง ก่อนทางลงถนนมอ เตอร์เวย์ แต่ก็ไม่พบภาพรถยนต์คันที่ก่อเหตุแต่อย่างใด คาดว่าคนร้ายอาจจะใช้เส้นทางอื่นหลบหนี โดยไม่ได้ขับรถผ่านเข้าด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนีคือเส้นถนนลาดกระบัง โดยไม่เลี้ยวเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากอาจจะรู้ว่ามีกล้องวงจรปิด

ต่อมาพ.ต.อ.เทียนชัย นำกำลังเดินทางไป ตรวจหาปลอกกระสุนโดยมี ร.ท.พูลวิทย์ ไป ร่วมชี้จุดเริ่มจากใต้สะพานวงแหวนมอเตอร์เวย์ บริเวณไหล่ถนน และถนนจำนวน 2 เลน โดย ร.ท.พูลวิทย์ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่เดินตรวจหาปลอกกระสุนด้วยตัวเองตลอดระยะทาง แต่ยังไม่พบปลอกกระสุน

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ฝ่ายกฎหมายและสอบสวน กล่าวว่า กำลังดูภาพจากกล้องวงจรปิด ยังไม่พบที่ด่านทับช้าง น่าจะอยู่นอกด่านทับช้าง ส่วนเลเซอร์ที่คนร้ายส่องเข้ามาก่อนเปิดฉากยิงเชื่อว่าจะเป็นเลเซอร์ชี้เป้าของอาวุธปืนกล็อก แต่กัปตันพูลวิทย์ อาจจะไม่ทราบ คิดว่าเป็นปากกายิงเลเซอร์ธรรมดาจึงฉายไฟส่องกลับไป กระทั่งกลายเป็นว่ามีการเขม่นกันจนเกิดเรื่องขึ้น สาเหตุน่าจะมาจากท้องถนน ซึ่งก็ต้องเตือนว่าการขับรถปาดหน้าแค่นี้ ก็เป็นสาเหตุแล้ว ส่วนคนร้ายนั้นยังไม่ทราบ แต่กำลังตรวจสอบรถฟอร์จูนเนอร์ ป้ายแดง ที่คงมีไม่มากกำลังตรวจสอบอยู่

วันเดียวกันนายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเจ้า ของรถยนต์และรถจักรยานยนต์นำรถไปดัด แปลงแก้ไขหลอดไฟหน้ารถ (ไฟซีนอน) และไฟเบรก (ไฟหยุด) ให้มีแสงสว่างจ้ามากเกินไป หรือบางรายไปปรับแต่งทิศทางการส่องสว่างของแสงไฟให้สูงขึ้นจากเดิม เพื่อให้ส่องสว่างไกลขึ้น ซึ่งเป็นการรบกวนสายตาของผู้ขับขี่รายอื่น ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น และมีความผิดตามกฎหมายต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

นายเทียนโชติ กล่าวอีกว่า หลอดไฟซีนอนแม้จะมีข้อดีในเรื่องของประสิทธิภาพการส่องสว่าง แต่การนำมาใช้เป็นหลอดไฟหน้ารถได้อย่างปลอดภัยนั้น

จะต้องมีคุณลักษณะในเรื่องแนวจำกัดของแสง และรูปแบบการกระจายของแสงให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด โดย 'ไฟหน้า' ของรถยนต์และรถจักรยานยนต์จะต้องมีแสงสีขาวหรือเหลืองอ่อน จำนวน 2 ดวง ติดตั้งอยู่ในระดับเดียวกันที่หน้ารถด้านซ้ายและขวา แห่งละ 1 ดวง ติดตั้งสูงจากผิวทางไม่น้อยกว่า 40 ซ.ม. แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร ความสว่างของไฟสามารถส่องทางด้านหน้าได้อย่างชัดเจน และไม่เอียงไปทางขวาจนรบกวนสายตาของผู้อื่น

"สำหรับไฟหยุด (ไฟเบรก) ต้องเป็นสีแดง ไฟเลี้ยวต้องเป็นสีเหลืองอำพัน ไฟส่องป้ายต้องเป็นสีขาว มองเห็นป้ายทะเบียนได้ไกลไม่น้อยกว่า 20 เมตร การดัดแปลงไฟหน้าให้เป็นแสง สีอื่นหรือดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบหรือเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป จนทำให้แสงมีความสว่างจ้ามากจนเกินไป เมื่อนำไปใช้งานบนท้องถนนจะส่องเข้าตาผู้ขับขี่รายอื่น ทำให้สายตาพร่ามัวจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 12 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท" นายเทียนโชติ กล่าว

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยังฝากถึงเจ้า ของรถว่า อย่าได้ไปดัดแปลงไฟหน้าให้ผิดไปจากที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะการเปลี่ยนหลอดไฟเป็นไฟซีนอน หรือเปลี่ยนเป็นสีอื่น เช่น สีฟ้า สีม่วง สีเหลืองเข้ม หรือสีเขียว

เนื่อง จากการดัดแปลงหลอดไฟจะทำให้แสงที่ส่องออกมาผิดเพี้ยน หรือสว่างจ้าเกินไป จนรบกวนสายตาผู้อื่น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ มากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ดัดแปลงมาแล้วขอให้รีบดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง และขอความร่วมมือสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) หรือศูนย์บริการรถยนต์ หากพบรถที่ติดตั้งโคมไฟหน้ารถที่ไม่ได้มาตรฐานขอให้ปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน

วันเดียวกันนางอริยาภรณ์ นามจรัสภิรมย์ อยู่เขตจตุจักร กทม. เข้าร้องเรียนว่านายชัยธนันท์ นามจรัสภิรมย์ อายุ 22 ปี บุตรชาย ถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธปืนข่มขู่จากเหตุขับรถเฉี่ยวชนกัน โดยระบุว่าเกิดเหตุเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21.30 น. ลูกชายขับรถ ยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ สีน้ำเงิน ทะเบียน ชช 1279 กทม. พร้อมด้วยน.ส.ผานิตย์ กลิ่นปทุม น้าสาวจาก ถ.แจ้งวัฒนะ มุ่งหน้ามาแยกเกษตรฯ

นางอริยาภรณ์ เล่าอีกว่าลูกชายใช้เส้นทาง ถ.ติวานนท์ มุ่งหน้าแยกแคราย จังหวะมาถึงแยกแครายจะเลี้ยวเข้าถนนงามวงศ์วานเกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ ทะเบียน ชช 3752 กทม.

จึงลงมาเจรจากับคู่กรณีซึ่งเป็นชายวัยกลางคน จังหวะนั้นคู่กรณีก็ลงมือชกต่อยพร้อมชักปืนออกมาขู่ก่อนตีที่ศีรษะอีก 1 ครั้ง จนลูกชายทรุดลงกับพื้นยกมือไว้แต่คนร้ายก็ไม่หยุดลงมือทำร้ายซ้ำอีก จนน้าสาววิ่งไปบอกตำรวจ แต่คนร้ายก็ตามมาขู่บอกว่า "รู้ไหมกูลูกใคร" ก่อนที่จะขับรถหลบหนีไป

"เห็นว่าชายคู่กรณีกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะลงมือทำร้ายร่างกายได้แม้กระทั่งเด็ก บุตรชายเป็นคนไม่สู้คน ถ้าใครมาเห็นจะดูออกว่าเป็นคนไม่สู้คน ทุกวันนี้ลูกชายกลัวมากไม่กล้าที่จะใช้รถยนต์คันดังกล่าวอีกเลย ส่วนเรื่องคดีเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.สุทธิพงษ์ คำนาน ร้อยเวรสภ.เมืองนนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ไว้แล้ว" แม่เหยื่อถูกต่อย กล่าว

ด้านร.ต.อ.สุทธิพงษ์ กล่าวว่า หลังจากรับแจ้งความได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ทำแผล จากการสืบสวนหมายเลขทะเบียนรถยนต์คัน ดังกล่าวพบว่าคู่กรณีที่ลงมือทำร้ายนายชัยธนันท์ ชื่อนายนรินทร์ เศรษฐบรรจง อายุ 42 ปี ตำรวจได้ออกหมายเรียกไปแล้ว โดยนายนรินทร์ได้ติดต่อกลับมาว่าจะเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 21 ม.ค. เวลา 12.00 น. เพื่อให้ปากคำ

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์