ยาเสพติดสี่คูณร้อยสูตรใหม่ ทุบไฟนีออนผสมกระทอมดื่ม

"สารฟลูออเรสเซนต์" นำไปผสมใบกระท่อมต้มดื่มเรียก "ยาสี่คูณร้อย สูตรใหม่"


สารวัตรนักเรียนเมืองคอนเผย วัยรุ่นคิดพิเรนทร์ทุบหลอดไฟนิออนแล้วขูด "สารฟลูออเรสเซนต์" นำไปผสมใบกระท่อมต้มดื่มเรียก "ยาสี่คูณร้อย สูตรใหม่" บอกรสชาติดี-ชูกำลัง ด้านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดโวย "คิดสั้น" ย้ำอันตรายถึงตายไม่ควรนำสารเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าวิธีใด


หลังจากที่พบว่าวัยรุ่นบางส่วนในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช นิยมนำใบกระท่อมซึ่งเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งมาต้มเรียกว่า "ยาสี่คูณร้อย" นั้น

ล่าสุด นายสมพงศ์ อยู่เถาว์ หัวหน้าศูนย์ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนนักศึกษา หรือสารวัตรนักเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) นครศรีธรรมราช เขต 1 กล่าวว่า กลุ่มวัยรุ่นมีการคิดยาเสพติดสูตรใหม่ขึ้นมาอีก โดยเติมสารฟลูออเรสเซนต์ หรือสารเรืองแสงที่เป็นส่วนผสมอยู่ในหลอดไฟฟ้า นำมาใช้โดยการทุบหลอดไฟให้แตกแล้วเอาผงสารสีขาวเรืองแสงที่อยู่ในนั้นมาเป็นส่วนผสม


"ผมเคยจับกุมวัยรุ่นที่ใช้สูตรนี้มาผสมมาแล้ว เมื่อถามว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาตอบว่าทำให้รสชาติดีขึ้น และเพิ่มกำลังได้ดี นับว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงเมื่อสารเหล่านี้เข้าไปอยู่ในตัวผู้เสพอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้” นายสมพงศ์ กล่าว


นพ.นพพร ชื่นกลิ่น นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า


พฤติกรรมของวัยรุ่นที่นำสารฟลูออเรสเซนต์มาเป็นส่วนผสมในการต้มใบกระท่อมตามสูตรสี่คูณร้อยนั้น พูดแบบไม่ต้องพลิกตำราได้เลยว่า สารดังกล่าวมีพิษต่อร่างกายแน่นอน แต่ผลจะเป็นอย่างไรนั้นยังไม่มีใครทดลอง และเป็นจริยธรรมของแพทย์ด้วยว่าไม่มีแพทย์คนไหนที่จะทดลองเรื่องนี้ด้วย สารนี้ไม่ควรนำเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีใดๆ ยิ่งถ้านำมาผสมโน่นผสมนี่แล้ว บอกว่าเพิ่มกำลังเพิ่มรสชาตินั้น ถือเป็นเรื่องที่สิ้นคิด


“สารชนิดนี้เมื่อโดนบาดแผลของเรา หรือเราโดนเศษแก้วจากหลอดไฟที่มีสารชนิดนี้บาด จะเป็นบาดแผลที่รักษาได้ยากมาก ในทำนองเดียวกัน หากเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร และหากมีแผลอยู่แล้วปฏิกิริยาอย่างนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกัน อาจจะถึงตายได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งคนไม่น่าจะคิดแผลงๆ นำไปผสมดื่มได้ถึงขนาดนี้” นพ.นพพร กล่าว


ด้านนายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 9 กล่าวว่า

สำหรับพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ยังไม่พบการนำเอาสารฟลูออเรสเซนต์ในหลอดไฟมาเป็นส่วนผสมในสารเสพติดใบกระท่อม ที่นำมาต้มปรุงเป็นสูตรสี่คูณร้อยในกลุ่มวัยรุ่นแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่าในพื้นที่เองมีการแพร่ระบาดของยาเสพติดประเภทสี่คูณร้อยมากเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่มวัยรุ่นถูกชักจูงเข้าร่วมขบวนการในการก่อเหตุได้ง่าย และส่วนใหญ่วัยรุ่นจะใช้ยากันยุงและกัมม็อกโซนเป็นส่วนผสม


"ผมเพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชนเช่นกันว่า มีการนำเอาสารฟลูออเรสเซนต์ผสมในยาเสพติดประเภทดังกล่าวด้วย จากการวิเคราะห์ต้องยอมรับว่าหากวัยรุ่นนำเอาสารชนิดดังกล่าวมาผสมจริง เชื่อแน่ว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด เนื่องจากสารฟลูออเรสเซนต์ในหลอดไฟ รวมถึงสารในยากันยุงและกัมม็อกโซน มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งคือจะเป็นตัวเร่งให้สารเสพติดเข้าสู่กระแสเลือดและเม็ดเลือดได้เร็วขึ้น จนส่งผลให้ผู้เสพเกิดอาการมึนเมาได้ในไม่ช้า" นายวิตถวัลย์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากปัญหาวัยรุ่นเสพยาเสพติดสูตรใหม่แล้ว กลุ่มนักเรียนนักศึกษาหญิงใน จ.นครศรีธรรมราช ส่วนหนึ่งนิยมแฟชั่นไม่สวมกางเกงชั้นใน และทำไฮไลท์ขนอวัยวะเพศด้วย

นายศักดิ์ (สงวนชื่อจริง) ปลัดอาวุโสอำเภอแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ ซึ่งมีภูมิลำเนาในนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขณะที่กำลังเดินทางจาก จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไปทำงานที่ จ.กระบี่ พร้อมกับข้าราชการระดับหัวหน้าส่วน 3 คน ระหว่างที่ขับรถนั้นพบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มอยู่กลางถนน มีนักเรียนหญิง 3 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติอยู่จึงหยุดรถช่วยเหลือ



"เมื่อไปเห็นกลับไม่กล้าให้ความช่วยเหลือเนื่องจากนักเรียนหญิงทั้ง 3 คน บางคนนอนแน่นิ่ง สภาพกระโปรงขาดเกือบทั้งตัว และมีบาดแผลหลายแห่ง แต่สิ่งที่ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่านักเรียนหญิง 2 ใน 3 คน ไม่สวมกางเกงชั้นใน ผมเองจึงไม่กล้าให้ความช่วยเหลือ แต่ให้ข้าราชการอีกคนซึ่งเป็นผู้หญิงลงไปช่วย และเมื่อตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ผมได้ไปบอกตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจถึงกับหัวเราะแล้วบอกว่า เดี๋ยวนี้เป็นแฟชั่นของนักเรียนหญิงไปแล้ว โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อนักเรียนหญิงขี่รถจักรยานยนต์มาประสบอุบัติเหตุจะพบเห็นได้เสมอว่า ไม่สวมกางเกงชั้นใน บางครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิมาให้ความช่วยเหลือต้องใช้ผ้าห่อศพปิดบังให้แล้วนำไปส่งโรงพยาบาล” นายศักดิ์ กล่าว


ด้าน น.ส.จ.(นามสมมติ) อาจารย์โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า

ความนิยมของวัยรุ่นสาวที่ไม่นิยมใส่กางเกงชั้นในนั้น เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วและเป็นแฟชั่นที่ระบาดมาจากต่างประเทศ อย่างในโรงเรียนที่สอนอยู่เด็กกลุ่มนี้มักจะมีการแต่งตัวแนวที่เรียกว่า “คิกขุ” สไตล์วัยรุ่นญี่ปุ่นและนิยมสวมใส่เสื้อผ้าสั้นๆ ทั้งกระโปรงและกางเกง เน้นแบบรัดรูปเห็นเป็นสัดส่วน


“เคยถามพวกเขาว่า ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ และไม่นิยมสวมชั้นใน ได้รับคำตอบว่า ถ้าแต่งให้เต็มรูปแบบนั้น ต้องแต่งแบบคิกขุสวมกระโปรง หรือกางเกงแบบสั้นๆ ส่วนเสื้อนั้นเป็นเสื้อกล้ามรัดรูป เวลาไปไหนมาไหนต้องมีรถจักรยานยนต์แบบสกูตเตอร์ออโตเมติก ที่สำคัญนั้นจะต้องไม่ใส่กางเกงชั้นใน ส่วนหน้าอกนั้นสวมบราตามปกติ แต่ต้องเป็นบราที่มีลวดลายเด่นชัดสามารถมองผ่านทะลุเสื้อได้ และขนในที่ลับจะต้องทำไฮไลท์เป็นสีต่างๆ เมื่อสวมสั้นๆ แล้วขี่รถจักรยานยนต์ไปตามท้องถนนเมื่อคนมองนั้นเขาจะรู้สึกสะใจชอบใจ ยิ่งเห็นอาการคนที่มองตะลึง ในทำนองมองแล้ววับๆ แวมๆ ของสีขนในที่ลับที่ทำไฮไลท์ไว้ ที่ผ่านมาพยายามตักเตือนแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล” อาจารย์ จ. กล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์