ภาวนาพุทโธจบ-ศาลฎีกาจำคุก50ปี

ศาลฎีกาพิพากษายืน คุก 50 ปี อดีต"พระภาวนาพุทโธ"ขืนใจเด็กหญิงลูกศิษย์ชาวเขา ส่วนอดีตแม่ชี ยังให้จำ 28 ปี บรรดาศิษยานุศิษย์กว่า 200 คนแห่ให้กำลังใจแน่น หลังทราบคำพิพากษาบางรายถึงกับร่ำไห้ด้วยความเสียใจ

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8

เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจำลอง คนซื่อ อายุ 60 ปี หรืออดีต "พระภาวนาพุทโธ" อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม กับพวกรวม 8 คน ประกอบด้วย น.ส.สมจิตร รักสีขาว อายุ 36 ปี, น.ส.ช่อผา สกุลวนาการ อายุ 35 ปี, น.ส.อนงค์ วงศ์ใจประเสริฐ อายุ 41 ปี, น.ส.จินตนา ดารานโรดม อายุ 36 ปี, น.ส.สุภาพ นาวรัตน์ อายุ 38 ปี, นางศรีเพ็ญ มีกลอนเพราะ อายุ 40 ปี และน.ส.ขนิษฐา มีกลอนเพราะ อายุ 35 ปี จำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีและไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา ชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจาร

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2538 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือนส.ค.31- ม.ค.38 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด

จำเลยที่ 1 ขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม มีฉายาว่า "พระมหาจำลอง กิตติปัญโญ" หรือพระภาวนาพุทโธ ประธานมูลนิธิหลวงพ่อพุท โธภาวนา รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาวเขายากจนและอยู่ในถิ่นทุรกันดารจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ส่วนจำเลยที่ 2-8 เป็นแม่ชีอยู่ในวัดสามพรานและเป็นลูกศิษย์ของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี 15 ปี และหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี รวม 9 คน ซึ่งเป็นเด็กชาวเขาในอุปการะของจำเลยที่ 1 มาให้จำเลยที่ 1 กระทำอนาจารและข่มขืนตั้งแต่ปี 2531-2538 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2547 เห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง หลายกรรมต่างกัน ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 160 ปี

แต่ตามกฎหมายกำหนดให้จำคุกจำเลยไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 50 ปี, จำเลยที่ 2 จำคุก 31 ปี, จำเลยที่ 3 จำคุก 28 ปี, จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี, จำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี, จำเลยที่ 6 จำคุก 4 ปี, จำเลยที่ 7 จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1-4 และ 6-7 ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลยกฟ้อง กระทั่งวันที่ 16 พ.ย.2548 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น นายจำลอง จำเลยที่ 1 และน.ส.ช่อผา จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาเพียง 2 คน ส่วนจำเลยอื่นไม่ฎีกา เพราะส่วนใหญ่รับโทษครบกำหนดแล้ว

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารืออย่างละเอียดรอบคอบแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย จำเลยเป็นผู้กระทำผิด และได้กระทำต่อศิษย์

ซึ่งอยู่ในความดูแลที่ต้องรับโทษหนักขึ้นหรือไม่ เห็นว่า พยานผู้เสียหายทั้งเก้าเบิกความสอดคล้องกันถึงพฤติการณ์ของพวกจำเลย มีแม่ชีพาผู้เสียหายรายละคน ผ่านทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่ 1 จึงเดินลงมาจากชั้น 2 ให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก ใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา จากนั้นจำเลยที่ 1 เข้าโอบกอด โดยมีจำเลยอื่นช่วยจับแขนขา แล้วจำเลยที่ 1 ได้กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด

ต่อมาได้มีพระสุรัตน์ ซึ่งเป็นพระลูกวัดโพธิ์เรียง ญาติของผู้เสียหายรายหนึ่ง ทราบเรื่องจากผู้เสียหาย จึงให้เขียนบันทึก ทำแผนที่ แล้วเข้าร้องเรียนต่อกรมการศาสนาและกองปราบปราม

ต่อมาสื่อมวลชนเสนอข่าว ผู้เสียหายทยอยเปิดเผยตัวมากขึ้น จึงเริ่มสอบสวนจริงจังโดยพาไปดูที่เกิดเหตุ ชี้จุด เก็บหลักฐานพยาน จนได้ลายนิ้วมือจำเลย ร่องรอยห้องน้ำที่ถูกดัดแปลง และอื่นๆ จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า เป็นพระมีชื่อเสียงด้านบำเพ็ญภาวนา และนำเด็กชาวเขาที่นับถือศาสนาอื่นมาเป็นชาวพุทธ จนสร้างความไม่พอใจแก่ศาสนาอื่น จึงร่วมกันกลั่นแกล้งปั้นเรื่อง นอกจากนี้ห้องที่เกิดเหตุก็ไม่ตรงกับบันทึกแผนที่ของเด็ก และอวัยวะเพศของตนก็ผิดปกติ ไม่อาจร่วมเพศได้ ส่วนอวัยวะเพศผู้เสียหายก็ไม่มีร่องรอยถูกชำเรานั้น

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่เกิดเหตุแม้ถูกดัดแปลงก่อสร้างเพิ่มเติมหลังเกิดเหตุ แต่ยังมีร่องรอยตรงกับที่ผู้เสียหายเบิกความ

แสดงว่าจำเลยที่ 1 สามารถเดินลงจากกุฏิชั้น 2 มาชั้นล่างโดยที่คนภายนอกมองไม่เห็น นอกจากนี้จำเลยกลับนำเด็กหญิงมาอยู่ใกล้ๆ กุฏิ ทั้งที่ควรจะเป็นเด็กชาย จึงผิดวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม บริเวณกุฏิมีทางเดินซับซ้อนเกินความจำเป็น แม้จะติดป้ายว่าเป็นเขตสงฆ์ แต่เมื่อดูจากร่องรอยก๊อกน้ำเก่า รอยปิดฝ้าเพดานไม้อัดทับช่องทางลับที่เคยเป็นบันไดเหล็ก ก็ล้วนแสดงว่าเด็กหญิงสามารถเข้าไปในกุฏิได้และจำเลยก็สามารถเข้ามาในห้องบันทึกเทปชั้นล่างได้โดยง่าย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าแม้เป็นถึงเจ้าอาวาสและเป็นประธานมูลนิธิ แต่ไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลเด็กหญิงชาวเขา จึงไม่ได้กระทำผิดต่อศิษย์ผู้เสียหายนั้น เห็นว่าผู้เสียหายถูกส่งตัวมาศึกษาธรรมและขอรับการศึกษาระดับสามัญ จึงอยู่ในวัตถุประ สงค์ของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ฎีกาของจำเลยไม่มีข้อสาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายจำลองซึ่งอยู่ในชุดนักโทษสีน้ำตาล โกนศีรษะโล้น ถูกสวมโซ่ตรวน ถูกเบิกตัวจากเรือนจำ มีสีหน้าเรียบเฉย

ระหว่างเดินเข้าห้องพิจารณาก็มีบรรดาแม่ชี และผู้นับถือศรัทธา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงวัยแต่งชุดขาว ประมาณ 200 คน ได้นั่งพับเพียบกับพื้นพนมมือไหว้นายจำลอง ส่วนนายจำลองก็พนมมือรับไหว้ตลอดทาง และหลังฟังคำพิพากษาขณะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนายจำลองกลับไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาล บรรดาผู้ที่นับถือต่างก็พนมมือไหว้ บางรายถึงกับร่ำไห้


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์