ปฐมบท‘เสี่ยโจ้’สู่เส้นทางเจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน

ปฐมบท‘เสี่ยโจ้’สู่เส้นทางเจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน



ปฐมบท‘เสี่ยโจ้’สู่เส้นทางเจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน

การประกาศตั้งค่าหัว 1 ล้านบาทสำหรับรางวัลนำจับ “เสี่ยโจ้” หรือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน อายุ 46 ปี นายทุนค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ที่ถูกกาหัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ "ส่วยน้ำมันเถื่อน" ข้ามชาติที่โยงใยไปยังกลุ่ม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพวก

              แม้ชื่อ "เสี่ยโจ้" จะคุ้นหูกันดีมาพักใหญ่กับวีรกรรมกระฉ่อนเมืองปัตตานี พื้นที่ฐานที่มั่นที่ทำธุรกิจจนร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสันและเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มธุรกิจอิทธิพลมืดที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนในดินแดนปลายด้ามขวานในฐานะท่อน้ำเลี้ยงอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มขบวนการผู้ก่อเหตุความไม่สงบที่สร้างสถานการณ์ฆ่าผู้บริสุทธิ์รายวัน แต่จนแล้วจนรอดเมื่อทีมเจ้าหน้าที่ฝีมือขั้นเทพระดับไหนเข้าตรวจสอบยึดหลักฐานที่คาดว่ามัดตัวแน่นดิ้นไม่หลุดสุดท้ายก็รอดพ้นจนบัดนี้ที่หายตัวลอยนวล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้วก็ตาม

              "เสี่ยโจ้" ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลสำหรับคนปัตตานี เพราะเป็นเพียงคนนอกพื้นที่ที่เข้ามาหาผลประโยชน์ และที่ผ่านมา "เสี่ยโจ้" ไม่เคยพบปะสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่เป็นความร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่แม้แต่น้อย แต่สาเหตุที่เป็นที่รู้จักได้เพราะชื่อเสียงกระฉ่อนในทางลับที่เป็นคนใจป้ำยอมจ่ายเงินซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะการซื้อ "คน" ที่อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่การทำธุรกิจที่ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ชื่อของ "เสี่ยโจ้" จึงเป็นที่รู้จักกันดีในวงการกลุ่มคนมีสีในพื้นที่

              สำหรับประวัติ "เสี่ยโจ้” ที่เป็นที่รับรู้และได้รับการเปิดเผยมีเพียงแค่เป็นคนพื้นเพเดิมจาก จ.เพชรบุรี มุ่งหน้ามาทำธุรกิจเจ้าของแพปลาที่ จ.ปัตตานี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จากนั้นก็ไต่เต้าจากธุรกิจแพปลาเล็กๆ ก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางธุรกิจนอกกฎหมายที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโต๊ะการพนันฟุตบอล หวยเถื่อน  ไม้เถื่อน และน้ำมันเถื่อน ซึ่งทั้งหมดหลบอยู่ภายใต้ชายคาของห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นธุรกิจที่เป็นฉากบังหน้าให้ "เสี่ยโจ้" ได้ยืนอยู่ในจุดที่แสงสว่างส่องถึงตัวตนในคราบนักธุรกิจปัตตานี

              ชีวิตที่อยู่บนเส้นทางแห่งอำนาจใต้ดินนี้ จึงทำให้เสี่ยโจ้ รู้จักสนิทสนมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการข้าราชการ นักการเมือง และผู้มีอิทธิพลในเครือข่ายกลุ่มอื่นๆ ที่ฝังตัวอยู่ในพื้นที่เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ส่วนตัวนั้นจึงแน่นปึ้กกับผู้มีอำนาจทุกเหล่ากอ

              ธุรกิจน้ำมันเถื่อนข้ามชาติที่มีเรือน้ำมันกว่า 50 ลำลอยลำกลางทะเลอ่าวไทยสร้างรายได้ให้อย่างงดงามเพราะธุรกิจซื้อขายบนเรือล้วนใช้เงินสกุลต่างประเทศ ทั้งริงกิตมาเลเซีย และดอลลาร์จากสิงคโปร์ จึงไม่แปลกที่ครั้งหนึ่งตำรวจน้ำได้เข้าจับกุมเรือโชคนำชัย 2ซึ่งเป็นเรือที่รู้ดีว่าอยู่ในเครือข่าย "เสี่ยโจ้" ในน่านน้ำสากล พร้อมยึดเงินสกุลต่างๆ รวมมูลค่า 58 ล้านบาท

              เงื่อนปมทุกอย่างสอดรับกันอย่างลงตัว เมื่อต้นปี 2557 ทีมเฉพาะกิจนำโดย พ.อ.จตุพร กลัมพสุต หัวหน้าป้องกันและปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ อย่างต่อเนื่องและทุกครั้งก็ได้หลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีความเชื่อมโยงกันกับฐานความผิดที่น่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำอะไร กระทั่งในยุคที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ การเข้าตรวจค้นเป้าหมายจึงเริ่มต้นอย่างมีนัยและครั้งนี้ที่เจ้าหน้าที่บุกค้นและตรวจยึดหลักฐานสำคัญหลายชิ้น หนึ่งในนั้นมี “ตราประทับ” เข้าเมืองของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรวมอยู่ด้วย

              จากนี้เองที่ทำให้ “เสี่ยโจ้” ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่ได้ขอประกันตัวออกมาสู้คดี ท่ามกลางการคัดค้าน จนที่สุดศาลจังหวัดปัตตานีได้ตัดสินลงโทษ 1 ปี 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และเป็นไปตามคาด "เสี่ยโจ้" ฉวยโอกาสหลบหนีขณะที่อยู่ในความดูแลของ ร.ต.ต.อรุณ ศรีสุขมาก รอง สวป.สภ.เมืองปัตตานี จนถึงตอนนี้ไม่มีใครทราบว่า "เสี่ยโจ้" หลบหนีออกนอกประเทศหรือกบดานอยู่ ณ จุดใด ก่อนที่จะมีการตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท
 เปิดข้อมูลลับ
    
              ภายหลังกระแสการจับกุมกลุ่ม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีการเปิดเผยข้อมูลที่อ้างว่าเป็น "รายงานลับ" ฝ่ายความมั่นคงเองที่ส่งถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงตั้งแต่ปี 2555 และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ระบุชัดว่าเครือข่ายที่รับผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนไม่ได้มีเฉพาะ "สีกากี"
    
              ข้อมูลชุดที่ 1 เครือข่าย "เสี่ย จ." ซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด และเป็นรายใหญ่ที่สุดที่ทำธุรกิจมืดนี้ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง "รายงานลับ" ก็ชี้ให้เห็นว่ามีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ผู้นำในพื้นที่ชายแดนใต้ และภาคใต้ตอนล่าง รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
    
              1.นาย ส. (เสี่ย จ.) เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
    
              2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
    
              3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
    
              4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
    
              5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
    
              6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
    
              7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
    
              8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
    
              ข้อมูลชุดที่ 2 พื้นที่รับส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี พบจุดรับส่งน้ำมันริมฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ จ.นราธิวาส ถึง จ.เพชรบุรี วิธีการคือ ส่งเรือประมงดัดแปลงให้สามารถบรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000-200,000 ลิตร ไปรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน (ซึ่งมีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกกว่าประเทศไทยกว่าครึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันช่วยเหลือกิจการประมง) เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง แล้วมีรถบรรทุกน้ำมันรับช่วงต่อ ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี จ.สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง
    
              จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้ จ.ระยอง กับ จ.ตราด
    
              ข้อมูลชุดที่ 3 ผู้เกี่ยวข้องรับผลประโยชน์ เนื่องจากมีการจ่ายสินบนในลักษณะ "ส่วยรายเดือน" ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยเกือบทุกระดับ เงินส่วยส่วนใหญ่จ่ายให้แก่ "คนมีสี" ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับปฏิบัติ ทั้งในน้ำและบนบก ทุกพื้นที่ตั้งแต่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปจนถึง จ.ชุมพร จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบุรี รวมทั้งสื่อมวลชนบางกลุ่ม มูลค่าเงินส่วยเท่าที่มีการยืนยันประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ไม่นับการจ่ายเงินในลักษณะ "อำนวยความสะดวก" หรือ "ดูแล" เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจระดับสูงอีกต่างหาก
    
              นอกจากนี้ใน "รายงานลับ" ที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอนั้นยังได้ระบุชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์หลายกลุ่ม เช่น ตำรวจน้ำ ทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติ, สีกากีที่ดูแลเส้นทางผ่าน เช่น สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช, ชุดปราบปรามทางทะเลของหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีนำเข้า ในพื้นที่ จ.ตราด ระยอง ชลบุรี, สีเขียวในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษที่สีเขียวสามารถตั้งด่านตรวจด่านสกัดได้, หน่วยพิเศษพลเรือนชื่อดังที่มีอำนาจสืบสวนจับกุมทั่วราชอาณาจักร
    
              ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลที่ยึดได้ ระบุจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานหลายส่วน บางรายมีชื่อ นามสกุล ตำแหน่งชัดเจน บางส่วนเป็นหมายเลขบัญชีธนาคาร มีหมายเลขโทรศัพท์ และระบุวันเวลาที่จ่ายเอาไว้ด้วย เป็นลักษณะค่าใช้จ่ายประจำ มีวงเงินถึงประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อเดือน รวมทั้งส่วนสื่อมวลชนก็มีการระบุเช่นกันว่า อยู่สังกัดใด
    
              ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบทที่ 1 ในการเริ่มต้นเปิดฉากค้นหาคำตอบเกี่ยวกับธุรกิจและผลประโยชน์มหาศาลที่ฝังอยู่ในพื้นที่ปลายด้านขวาน ซึ่งบทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไรต้องคอยติดตามกันต่อไป

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์