ป.ไม่กัน ´จ่ายักษ์´เป็นพยานคดีบึม

"สืบพยานล่วงหน้า"


ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (18 ก.ย.) พล.ต.ท. มนตรี จำรูญ ผบช.ก. ฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายปมคดี พร้อมด้วย พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบก.ป. และทีมพนักงานสืบสวนสอบสวนทั้งหมด ได้เข้าร่วมประชุมวางแนวทางการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อสรุปสำนวนคดีลอบสังหาร ใช้เวลานานประมาณ 2 ชั่วโมง

พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. กล่าวภายหลังประชุมว่า อีกราว 2-3 วัน จะทำหนังสือประสานไปยังอัยการศาลทหาร เพื่อขอสืบพยานล่วงหน้าจำนวน 3 ปาก อ้างเหตุผลถึงความปลอดภัยของพยานเป็นหลัก คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ หากศาลทหารมีคำสั่งอนุญาต ส่วนกรณีที่จะกันตัว จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ หรือจ่ายักษ์ ไว้เป็นพยานในคดีนี้หรือไม่นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้หารือ ทุกวันนี้พนักงานสอบสวนขอยืนยันสถานภาพของจ่ายักษ์ว่ายังคงเป็นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีอยู่ 6 ข้อหา เช่นเดียวกับผู้ต้องหารายอื่น ทีมสอบสวนยังไม่ได้พิจารณาว่าจะกันเป็นพยานหรือไม่

"ไม่เกิน 2 ครั้งฝากขังได้"


พล.ต.ต.วินัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้รับผลตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์กลับมาแล้วจำนวนมาก และเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี คงใช้เวลารวบรวมหลักฐานสักระยะ เพราะต้องใช้ความระมัดระวังในการทำคดีเป็นพิเศษ คาดว่าหลังจากฝากขังผู้ต้องหาอีกไม่เกิน 2 ครั้ง จะสามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องได้ แต่ยังไม่ สามารถบอกรายละเอียดได้ หากคดีไปสู่ศาลแล้ว ข้อเท็จ จริงของคดีทั้งหมดจะถูกเปิดเผยในการสืบพยานชั้นศาล โดยพนักงานสอบสวนเตรียมจะชี้แจงทุกกรณีที่เป็นข้อสงสัย มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้มายืนยันทุกอย่างเองว่าคดีนี้ไม่ได้มีการจัดฉาก

ด้าน พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีทดสอบการจุดระเบิดที่ทีมสืบสวนไปจำลองเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุว่าผลการทดสอบมีข้อสันนิษฐานอยู่ เพียง 2 ประเด็นเท่านั้นที่ทำให้ระเบิดไม่ทำงาน ประเด็นแรก ผู้จุดระเบิดหรือผู้ที่ทำหน้าที่กดรีโมตคอนโทรลอาจจะอยู่ไกลจากรถเก๋งแดวูมากเกินไป เพราะกลัวผลจากแรงระเบิดที่มีอยู่จำนวนมาก จึงทำให้สัญญาณภาคส่งมีปัญหา ประกอบกับที่เกิดเหตุอยู่ในที่ชุมชนมีการจราจรคับคั่ง ประเด็นที่ 2 ผู้ที่ทำหน้าที่ถือรีโมตจุดระเบิดอาจอยู่ใกล้กับรถมากเกินไป และรู้ถึงอานุภาพของแรงระเบิดจึงไม่กล้าจุดชนวน ทั้ง 2 ประเด็นนี้เป็นข้อสันนิษฐานที่ทำให้ระเบิดไม่ทำงาน

"ยังไม่ประกันเพื่อความปลอดภัย"


สายวันเดียวกัน นายสมยศ จันทระ มีศักดิ์เป็นอา และทนายความ เดินทางไปเยี่ยม จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ หรือจ่ายักษ์ ที่ห้องควบคุมกองปราบปราม จากนั้นได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า เพื่อความปลอดภัยของหลานชายจะยังไม่ยื่นเรื่องขอประกันตัวออกมา และเห็นด้วยที่พนักงานสอบสวนขอนำตัวกลับมาควบคุมที่กองปราบปรามตามเดิม เพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการเข้าเยี่ยมของญาติ

นายสมยศยืนยันว่า เป็นทนายความให้จ่ายักษ์ ตั้งแต่วันแรกที่ถูกจับกุม ทุกครั้งที่มีการสอบสวนได้เข้ารับฟังการสอบสวนตลอด ระหว่างถูกควบคุมตัวหลานชายก็ไม่ได้มีการร้องขออะไรเป็นพิเศษ ส่วนที่จ่ายักษ์ถูกกล่าว หาเป็นคนติงต๊อง ก็แล้วแต่คนจะมอง ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ผมเคยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ย่อมรู้ดีว่าหลานเป็นอย่างไร ดูแล้วเขามีไอคิว 180 ด้วยซ้ำ นายสมยศกล่าว

"คัดค้านการประกันตัว"


ต่อมา พ.ต.อ.ฉลองชัย บุรีรัตน์ รอง ผบก.ป. พร้อมกำลังตำรวจคอมมานโดประมาณ 20 นาย เบิกตัวจ่ายักษ์ออกจากห้องควบคุมพาเดินทางไปผัดฟ้องฝากขังเป็นครั้งที่ 2 ที่ศาลทหาร พร้อมขอรับตัวกลับมาควบคุมไว้ที่กองปราบปรามตามเดิม ซึ่งจ่ายักษ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว และยังคงเอกลักษณ์การสวมหมวกไหมพรมแบบแฟชั่นสีดำ ส่วน พ.อ.สุรพล หรือเสธ.ตี๋ สุประดิษฐ์

ผู้ต้องหาอีกรายที่ถูกควบคุมตัวอยู่เรือนจำทหาร จ.นครปฐม พนักงานสอบสวนได้ยื่นผัดฟ้องเช่นกัน และคัดค้านการประกันตัวอ้างเหตุผลว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน โดยนายพันทหารคนดังถูกควบคุมเดินทางไปยังศาลทหารด้วย มีทนายความร้องขอต่อศาลให้ช่วยเร่งรัดพนักงานสอบสวนรีบทำสำนวนคดีให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด เนื่องจากระหว่างคุมขังอยู่ที่เรือนจำทหาร พ.อ.สุรพลได้รับความลำบากมาก ศาลอนุญาตตามคำร้องและกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งทำสำนวนโดยเร็ว

"เตรียมเรียกนายพันอีกรายสอบ"


ขณะที่ พ.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผกก.4 บก.ป. ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจเก็บลายนิ้วมือแฝงจากรถยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเอสแค็บ สีดำ ทะเบียน ศฮ 5233 กรุงเทพมหานคร ของ พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ หนึ่งในทีมผู้ต้องหาคาร์บอมบ์ ที่นางอรพินธ์ สุขประเสริฐ ภรรยาของ พ.ท.มนัส เป็นผู้นำมาจากบ้านใน จ.สุพรรณบุรี

ให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบอย่างละเอียด เบื้องต้น จากการตรวจดูสติกเกอร์ผ่านเข้า-ออก กอ.รมน.ที่ติดกระจกหน้ารถคันดังกล่าว พบระบุเป็นชื่อของ พ.ต.ชะกิจ สมตระกูล อยู่สำนักงาน รอง ผอ.กอ.รมน. และทะเบียน ปย 9993 กรุงเทพมหานคร ไม่ตรงกับป้ายทะเบียนรถของ พ.ท.มนัส พนักงานสอบสวนจึงเตรียมพิจารณาเรียกตัวนายพันทหารรายนี้มาให้ปากคำด้วยว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการลอบสังหารผู้นำประเทศหรือไม่


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์