ท้องกับคนอื่น-โง่เองที่ชายอ้าง มัธยมหญิงแชมป์ชิงสุกก่อนห่าม

"ไม่อยากรับผิดชอบ-ท้องกับคนอื่น-โง่เอง"


สวช.เผยข้อมูลวิจัยพบนักเรียนหญิงมัธยมท้องก่อนแต่งมากที่สุดร้อยละ 43 ขณะที่นักเรียนชายทำท้องแล้วไม่ยอมรับร้อยละ 73.2 อ้าง ไม่อยากรับผิดชอบ-คิดว่าท้องคนอื่น-เป็นความโง่ของผู้หญิงเอง ตะลึงเด็กเคยพยายามทำแท้งด้วยวิธีกินยา ฉีดยา ดึงเด็กแต่ไม่ออก เสพยาเสพติด ทำร้ายร่างกาย เช่น ตีท้อง พยายามตกบันได

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.)สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เปิดเผยเรื่องค่านิยมของเยาวชนไทย โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของเด็กนักเรียนในกรุงเทพฯนำไปสู่การตั้งครรภ์ว่า น่าเป็นห่วงมาก

"จากงานวิจัยเรื่องการตัดสินใจดำรงครรภ์และการปรับตัวของมารดานอกสมรส ในเขตกรุงเทพมหานคร ของ น.ส.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ นักวิจัยคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่ง สวช. ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยปี 2548 ได้สอบถามและสัมภาษณ์แบบเจาะลึกมารดานอกสมรสจำนวน 121 ราย มีนักเรียนหญิงมัธยมอายุตั้งแต่ 14-20 ปี มีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชาย เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมามากที่สุด ตามด้วยระดับชั้นประถม" เลขาธิการ กวช. กล่าวและว่า


น.ร.หญิงมัธยมศึกษาตั้งครรภ์สูง


มารดานอกสมรถจากกลุ่มตัวอย่างหญิงที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไป และที่คลอดบุตรแล้วได้พักอยู่ที่บ้านฉุกเฉิน ดอนเมือง บ้านพักเด็กและครอบครัว ราชเทวี และมูลนิธิ สมาคม ที่ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ส่วนใหญ่มีอยู่ในระดับมัธยมศึกษาร้อยละ 43.0 ประถมศึกษาร้อยละ 34.7 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)ร้อยละ 7.4 ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ร้อยละ 3.3 อุดมศึกษาร้อยละ 6.6 ไม่ได้รับการศึกษาร้อยละ 3.3

ส่วนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับมารดานอกสมรส ส่วนใหญ่ระดับมัธยมศึกษาร้อยละ 34.7 ประถมศึกษาร้อยละ 24 ปวส.ร้อยละ 10.7 และอื่นๆ เช่น วุฒิบัตรวิชาชีพ(การช่าง) และการศึกษานอกโรงเรียนร้อยละ 10.7 อุดมศึกษาร้อยละ 9.9


บ้านเช่าเป็นสถานที่มีเพศสัมพันธ์สูง


สำหรับที่พักที่เด็กมัธยมศึกษาใช้เป็นที่พักมีเพศสัมพันธ์กันก่อนตั้งครรภ์ส่วนใหญ่เช่าบ้านอยู่ร้อยละ 46.3 รองลงมาคือบ้านตนเองร้อยละ 20.7 และอื่นๆ เช่น หอพัก บ้านญาติร้อยละ 15.7 ซึ่งในส่วนเช่าบ้านมาจะเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ และหางานทำ" เลขาธิการ กวช. กล่าวและว่า

การตั้งครรภ์ส่วนใหญ่เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกร้อยละ 70.2 และไม่ใช่ตั้งครรภ์ครั้งแรกร้อยละ 29.8 สาเหตุของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ แม้จะทราบวิธีคุมร้อยละ 43 รองลงมาคือความยินยอม รักใคร่ชอบพอร้อยละ 38 ถูกล่อลวงข่มขืนร้อยละ 14.0 และต้องการนำไปสู่การสมรสร้อยละ 5.0 ความรู้สึกต่อการตั้งครรภ์นอกสมรส ส่วนใหญ่วิตกกังวลร้อยละ 71.9 ไม่รู้สึกวิตกกังวลร้อยละ 13.2 ไม่แสดงความเห็นร้อยละ 14.9


เมื่อตั้งครรภ์ผู้ชายไม่ยอมรับสูง


ส่วนการยอมรับของชายมีเพศสัมพันธ์กับมารดานอกสมรสเรื่องการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกไม่ยอมรับร้อยละ 73.2 โดยให้เหตุผล ไม่อยากรับผิดชอบ คิดว่าท้องกับคนอื่น การท้องเป็นความผิดหรือความโง่ของผู้หญิงเอง และมีส่วนน้อยที่เกิดความรู้สึกยอมรับร้อยละ 26.8

ส่วนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับมารดานอกสมรสในการช่วยเหลือดูแลมารดานอกสมรสในระหว่างตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ไม่เคยสนใจหรือเป็นห่วงร้อยละ 68.6 ดูแลบ้าง ค่าใช้จ่ายไปพบแพทย์ร้อยละ 26.4 และมีส่วนร่วมมากตอนคลอดร้อยละ 5 ความรู้สึกของมารดานอกสมรสต่อการมีส่วนร่วมช่วยเหลือของชายที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่รู้สึกไม่ดี เพราะผู้ชายไม่สนใจ มีลูกแล้วทิ้ง ขาดกำลังใจ น้อยใจร้อยละ 52.1 รองลงมารู้สึกเฉยๆ สามารถเลี้ยงลูกเองได้ร้อยละ 42.1

นอกจากนี้ความคิดที่จะทำแท้งของมารดานอกสมรส ส่วนใหญ่ไม่กล้าทำเพราะกลัวบาป กลัวเจ็บ หมอไม่ให้ทำแท้ง ไม่มีเงินทำแท้ง อายุครรภ์มากร้อยละ 55.4 รองลงมาคือไม่มีความคิดที่จะทำแท้ง เพราะสงสารลูก รักและผูกพันกับลูก กลัวอันตราย ตั้งใจให้เกิดร้อยละ 23.1 และเคยพยายามทำแท้งด้วยวิธีกินยา ฉีดยา ไปดึงเด็กแต่ไม่ออก เสพยาเสพติด ทำร้ายร่างกาย เช่น ตีท้อง พยายามตกบันไดร้อยละ 21.5


ท้ายสุดแก้ปัญหาคือคิดฆ่าตัวตาย


นอกจากนี้ในงานวิจัยของ น.ส.ภาสนันทน์ ยังระบุถึงข้อมูลสหทัยมูลนิธิ และสายด่วนของมูลนิธิคุ้มครองเด็กที่ผ่านมาว่า มีนักเรียนโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาทางจิตใจและเครียดค่อนข้างมากจำนวนกว่า 3, 200 ราย จากทั้งหมด 10,373 ราย สาเหตุมาจากเพื่อนชายมักปฏิเสธความรับผิดชอบ ส่งผลให้เด็กผู้หญิงส่วนหนึ่งคิดที่จะฆ่าตัวตาย และขาดความอบอุ่นทางบ้านและโรงเรียน

และสมุดบันทึกรายงานของโรงพยาบาลศิริราช พบว่าในจำนวน 314 ราย เป็นวัยรุ่นถึงร้อยละ 83.7 และจากคลินิกดาวพระศุกร์ โรงพยาบาลราชวิถีพบว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา มี 1,123 ราย และทุกรายไม่ต้องการตั้งครรภ์ ต้องการให้แพทย์ช่วยทำแท้งให้ทั้งสิ้น และเมื่อได้รับการปฏิเสธ ก็จะหันไปใช้บริการหมอเถื่อน ตามคำแนะนำเพื่อน

ผลจากงานวิจัยนี้นำไปสังเคราะห์ต่อ และระดมนักวิชาการวัฒนธรรมมาร่วมแสดงความคิดเห็น หาทางออกของการแก้ปัญหาสังคมเด็กและเยาวชน ซึ่งตอนนี้ทางสวช. ได้มีการจัดทำโครง การสมัชชาเยาวชนแห่งชาติ ว่าด้วยค่านิยมพึงประสงค์ จัดทำกิจกรรมวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง และจัดทำให้มากขึ้น เพื่อให้เด็กได้มีพื้นที่แสดงออกในด้านศิลปวัฒนธรรม ไม่หมกหม่นเรื่องเพศสัมพันธ์ นางปริศนา กล่าว


ศธ.นำร่องแก้ปัญหา2ก.ย.นี้


ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ว่าได้มีการนำเสนอแผนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเยาว์ชนที่เชื่อมโยงกับปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ การใช้ความรุนแรง ปัญหาจากโรคเอดส์ และอีกหลายปัญหาที่เป็นที่ห่วงใยของสังคม

อย่างไรก็ตามปฏิทินการทำงานอีก 6 เดือนต่อไปนี้ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการก็จะมีการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และจะเสนอข้อมูลความรู้และมาตรการต่อสังคมเชิงรุกมากยิ่งขึ้น และในเร็ว ๆนี้ก็จะทยอยเสนอกิจกรรมที่ทำให้สังคมได้รับความรู้และเข้ามาร่วมกิจกรรมมากขึ้น

เชิงรุกก็คือจะเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง เช่น ความหนักหน่วงรุนแรงของปัญหา มาตรการทางออกทางแก้กิจกรรมที่หลายฝ่ายจะมาร่วมได้ แทนที่ให้ผู้ที่รับผิดชอบมาตอบคำถามรายวันว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆแล้วรุนแรงกว่าที่ทราบจากสื่อ ดังนั้นเราจึงเป็นฝ่ายรุกเสียเองแทนที่จะให้ปัญหาต่าง ๆเปิดเผยตัวเอง หรือเปิดเผยจากผู้เสียหาย อย่างไรก็ตามเร็ว ๆนี้จะเชิญนักวิชาการ ผู้ที่ประสบปัญหาและรับรู้ปัญหา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกันเพื่อหาทางออกทางแก้ นายจาตุรนต์ กล่าว

ด้านนางจรวยพร ธรณินทร์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหากับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ทั้งการถูกละเมิดทางเพศ การทะเลาะวิวาท หน่วยงานของรัฐที่ดูแลเกี่ยวกับเด็ก และเยาวชน มักจะตกเป็นจำเลยของสังคมและถูกมองว่าปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และยังไม่มีวิธีการแก้ไขแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่ง ศธ. ก็หนีไม่พ้นข้อกล่าวหานี้ ทั้งๆ ที่ศธ.พยายามแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่องง


วอนทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหา


ศธ.เป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งที่จะต้องดูแลรับผิดชอบนักเรียน นักศึกษา ในภาพรวมยังมีหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่งที่จะต้องเข้ามามีบทบาทร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้ง พ่อแม่ ผู้ปกครอง โรงเรียน ตลอดจนชุมชน จะต้องมาช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อความปลอดภัยของลูกหลาน รองปลัดศธ. กล่าว

นางจรวยพร กล่าวต่อว่า ครั้งนี้ ศธ.จะปฏิบัติการเชิงรุก โดยเริ่มจาก 2 ปัญหาหลักๆ อย่างเช่น นักเรียน นักศึกษาถูกล่วงละเมิดทางเพศ กับปัญหาทะเลาะวิวาท โดยจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเก็บรวบรวมสถิติ สาเหตุ ตลอดจนวิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านมา

จากนั้น ศธ.จะนำข้อมูลเหล่านี้เสนอในที่ประชุมโดยจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาร่วมกันหารือเพื่อหาทางออก โดยจะยึดเด็กเป็นสำคัญ รวมทั้งเชิญตัวแทนสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง ทั้งของภาครัฐและเอกชน มาคอยรับโทรศัพท์ 1579 ซึ่งเป็นสายด่วนกระทรวงศึกษาฯ ในการรับเรื่องร้องเรียนทุกเรื่อง

เหตุที่ให้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับโทรศัพท์ เพื่อจะได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งการปฏิบัติการเชิงรุกนี้ จะเริ่มวันที่ 2 ก.ย.นี้ โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่จากกรมสุขภาพจิต ตัวแทนจากสถานศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง และนักเรียน นักศึกษา ทั้งของภาครัฐและเอกชน มาช่วยกันหาทางออกเพื่อลูกหลานของทุกคน สำหรับนักเรียนที่ทะเลาะวิวาทกัน ศธ.จะมีมาตรการนำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนที่จะส่งกลับยังสถานศึกษา โดยจะมอบหมายให้ ครู อาจารย์ ผู้ปกครอง ดูแลพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ออกไปสร้างปัญหาสังคมอีก รองปลัด กล่าว

ด้านแหล่งข่าว ศธ. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันนักเรียน นักศึกษาถูกล่วงละเมิดทางเพศจำนวนมากขึ้น เพียงแต่เด็ก และผู้ปกครอง ไม่กล้าแจ้งความ จึงไม่เป็นข่าว สำหรับเหตุทะเลาะวิวาท เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็มักจะเข้าถึงจุดเกิดเหตุล่าช้า กว่าจะได้รับแจ้งเหตุ กว่าเจ้าหน้าที่จะเดินทางไประงับเหตุ และกว่าจะติดต่อผู้บริหารสถานศึกษาได้ต้องผ่านหลายขั้นตอน ที่สำคัญอุปกรณ์ เช่น รถยนตร์ วอร์ มีจำนวนน้อย ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงทำได้แค่รับเรื่องและจดไว้ในแผ่นกระดาษ แล้วรายงานผู้ใหญ่ทราบเท่านั้น


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์