ตุ๋นสาวพิการ ปอกลอก6ล้าน

เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 30 ต.ค. ขณะที่ ร.ต.อ.อุเทน บุญช่วย ร้อยเวร สภ.เมืองสุพรรณบุรี ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก ได้มีหญิงสาวร่างกายพิการ ใช้มือทั้ง 2 ข้างคลานแทนเท้าพยุงตัวเข้ามาพบ

ทราบชื่อ น.ส.สุชิน พันธุ์แตง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 194/1 หมู่ 7 ต.ดอนกำยาน อ.เมืองสุพรรณบุรี แจ้งว่าขอให้ตำรวจดำเนินคดีกับนายอารีย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี บ้านอยู่ ต.ดอนโพธิ์ทอง อ.เมืองสุพรรณบุรี เนื่องจากนายอารีย์มีพฤติกรรมหลอก ลวงเอาเงินไปเกือบ 6 ล้านบาท ระหว่างนั้น พ.ต.อ.ชัยรัตน์ ทิพยจันทร์ ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี ทราบเรื่องและได้ ให้ความสนใจ ร่วมรับฟังเรื่องราวด้วย

น.ส.สุชินเล่าถึงชีวิตรันทดให้ตำรวจฟังด้วยความขมขื่นว่า


เป็นคนพิการมาตั้งแต่เกิด ขาทั้ง 2 ข้างเดินไม่ได้มาตั้งแต่เล็ก ประกอบกับครอบครัวมีฐานะยากจน จึงไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แต่ก็ไม่เคยย่อท้อพยายามฝึกฝนจนกระทั่งใช้มือทั้ง 2 ข้างเดินต่างเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อสู้ชีวิตหาเลี้ยงตัวเอง รวมทั้งยังต้องดูแลพ่อวัยชรา และหลานที่ยังเล็กอีก 2 ชีวิต โดยไปรับจ้างล้างจานตามร้านอาหารในตัวเมืองสุพรรณบุรี กระทั่งเมื่อปี 2548 รายการ “คนค้นฅน” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี มาถ่ายทำชีวิตตนไปออกอากาศในชื่อตอน “ผู้หญิงที่ก้าวเดินด้วยหัวใจ” ทางรายการนำเสนอในประเด็นหญิงพิการที่ต่อสู้ชีวิตตามลำพัง ทั้งที่มีร่างกายพิการ หลังรายการออกอากาศไปไม่นาน มีผู้ชมสงสารบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารออมสิน สาขาสุพรรณบุรี ได้รับเงินบริจาครวมทั้งสิ้นเกือบ 6 ล้านบาท 

สาวพิการใช้มือเดินต่างเท้าเล่าต่อไปว่า ต่อมาไม่นาน มีนายอารีย์เดินทางมาหาที่บ้าน

เข้ามาตีสนิททำความรู้จักบอกว่าดูรายการคนค้นฅนแล้วสงสารและรู้สึกเป็นห่วง จากนั้นชวนไปทำงานด้วย นายอารีย์อ้างว่า เปิดร้านซ่อมรถและขายอะไหล่รถ จยย. อยู่ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากรู้จักกัน นายอารีย์ก็แวะเวียนมาหาที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ตนและพ่อเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ จนในที่สุดเกิดเป็นความรัก ตัดสินใจผูกข้อมือและย้ายไปอยู่กินด้วยกันที่บ้านของฝ่ายชายใน อ.วังน้อย ตั้งแต่ต้นปี 2549

“ครั้งแรกหนูก็ไม่ได้ระแวงสงสัยในตัวเขาเลย แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาจะพูดจาหว่านล้อมให้หนูเบิกเงินจากบัญชีที่ได้รับบริจาคมาให้เขาอยู่เป็นประจำ
ทุกครั้งจะอ้างว่านำเงินไปซื้ออะไหล่รถ จยย.เข้าร้าน รวมทั้งให้หนูเบิกเงินจากบัญชีธนาคารออมสิน สาขาสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากก้อนใหญ่ ออกมาฝากเป็นบัญชีแยกย่อยหลายบัญชี ต่อมาก็ขอเงินไปซื้อรถปิกอัพโตโยต้า วีโก้ 4 ประตู ในราคา 8 แสนบาท หนูก็ซื้อให้ด้วยความรัก จากนั้นเขายังขอเงินอีก 5 แสนบาท อ้างว่าจะนำไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านให้แม่ เพราะแม่ไม่มีบ้านอยู่ หนูหลงเชื่อและสงสารก็ให้ไป ล่าสุดก็ขอให้หนูโอนเงินเข้าบัญชีเขาอีก 5 แสนบาท อ้างว่าถ้าหนูหรือพ่อเจ็บป่วยก็จะได้เบิกเงินออกมารักษาได้ง่าย
เขาบอกให้หนูไว้ใจเขาเพราะเป็นผัวเมียกันแล้ว หนูก็หลงเชื่อทำตามทุกอย่าง” สาวพิการเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 


เหยื่อจิ้งจอกสังคมเล่าต่อไปว่า หลังจากให้เงินไปจำนวนมากแล้ว ปรากฏว่านายอารีย์กลับนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ซื้อเสื้อผ้าราคาแพง ซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่

แต่ตนก็ไม่เคยเอะใจ กระทั่งเริ่มระแคะระคาย เมื่อนายอารีย์นำหญิงสาวชื่อ น.ส.วัน ไม่ทราบนามสกุล มาอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน โดยนายอารีย์อ้างว่าเพื่อให้มาดูแลตน แต่เมื่อตนและ น.ส.วันได้ พูดคุยกันจึงทราบว่า ต่างฝ่ายต่างถูกนายอารีย์หลอกลวง น.ส.วันเล่าให้ฟังว่า นายอารีย์บอกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 และต้องแก้เคล็ดด้วยการสงเคราะห์คนพิการ จึงนำ น.ส.สุชินมาเลี้ยงดู นับแต่นั้นตนก็เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของนายอารีย์ แต่ด้วยความรักจึงยอมก้มหน้าอยู่กินกับนายอารีย์ต่อไป กระทั่งเงินที่ได้รับบริจาคมาจากผู้ใจบุญที่มีอยู่เกือบ 6 ล้านบาท ถูกนายอารีย์ปอกลอกไปจนหมดเนื้อหมดตัว 

น.ส.สุชินเปิดเผยอีกว่า หลังจากนายอารีย์ล่อลวงด้วยคารมคำหวาน ปอกลอกเงินทองของตนไปจนหมดแล้ว

ในระยะหลังไม่สามารถขอเงินจากตนได้อีก นายอารีย์จึงเริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาด้วยการพูดจาหยาบคาย ลงมือทุบตี ทำร้ายร่างกายและกักขังไว้หลังร้าน เมื่อญาติของตนทราบจึงเดินทางไปรับตัวกลับมาอยู่บ้านที่ จ.สุพรรณบุรี จากนั้นตนพยายามติดต่อนายอารีย์เพื่อทวงเงินคืน แต่กลับถูกปฏิเสธพร้อมทั้งข่มขู่ว่าหากมีการแจ้งความจะถูกทำร้ายอีก ทำให้ตนกลัวไม่กล้าปริปากบอกใคร

ต่อมาภายหลังมาทราบว่านายอารีย์มีภรรยาที่จด ทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้วชื่อนางนิตย์ และเป็นเจ้าของร้านซ่อมรถ จยย.ดังกล่าว

ทำให้ตนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่านางนิตย์ก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมกันหลอกลวงต้มตุ๋นเอาเงินของตนไป จึงนำเรื่องไปเล่าให้ญาติฟัง พร้อมโทรศัพท์แจ้งไปที่รายการคนค้นคน เพื่อขอความช่วยเหลือทางรายการได้ปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาทนายความ และมูลนิธิเพื่อนหญิง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับหญิงพิการ เนื่องจากต้องการให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคม รวมถึงผู้ที่ได้รับเงินบริจาคช่วยเหลือรายอื่นๆ เนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นที่พวก 18 มงกุฎ อาศัยเล่ห์เหลี่ยม หลอกลวงเงินจากผู้ประสบเคราะห์กรรม จึงแนะนำให้ไปดำเนินการแจ้งความไว้ก่อนในเบื้องต้นเพื่อเป็นหลักฐาน

ด้าน พ.ต.อ.ชัยรัตน์ ทิพยจันทร์ ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า


จะติดตามคดีนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเจ้าทุกข์ให้มากที่สุด เนื่องจากคดีนี้เห็นชัดว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาหลอกลวงอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน หลอกลวงได้แม้กระทั่งหญิงพิการ พฤติกรรมชัดเจนมากว่าเป็นการหลอกลวง ดังนั้น สภ.เมืองสุพรรณบุรี จะเร่งรัดติดตามสอบสวนคดีนี้เพื่อนำคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์