ช่างอู่ต่อเรือ ฉุนด่ากะเทย โดนโจ๋ยิงดับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 03.30 น. วานนี้ (3 ต.ค.) พ.ต.ท.ไวยวิทย์ นพรัตน์ สารวัตรเวร สภ.อ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงบาดเจ็บสาหัสบริเวณถนนหน้าสถานีรถไฟตรัง เขตเทศบาลนครตรัง ต.ทับเที่ยง จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.จักภาณุ ฤทธิสุนทร ผกก.สภ.อ.เมืองตรัง พ.ต.ท.สพชัย พึ่งพา รอง ผกก.สส.

พ.ต.ต.นเรศ นุ้ยโดด สว.สส. และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลสถานตรังบนถนนพบกองเลือดปนมันสมองกระจายเกลื่อน และมีรองเท้าฟองน้ำ 1 คู่ กับมีดดาบยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ตกอยู่ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้บาดเจ็บทราบจากพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า มีพลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาลตรังไปแล้ว และเสียชีวิตระหว่างทาง ทราบชื่อภายหลังคือนายเกาะหนี สังวาลย์รัตน์ อายุ 41 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 78 หมู่ 1 ต.ควนปริง อ.เมืองตรัง ผู้ตายสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว นุ่งกางเกงยีนขายาว มีแผลถูกจ่อยิงด้วยกระสุนปืนลูกซองที่ขมับซ้าย 1 นัด โดยมีเขม่าดินปืนติดจำนวนมาก

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นผู้ตายยืนคุยกับกะเทยที่มาเตร็ดเตร่ขายบริการอยู่หน้าสถานีรถไฟ โดยทางกะเทยเรียกค่าตัว 500 บาท แต่ผู้ตายต่อรองราคาเหลือแค่ 100 บาท ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จนเกิดการทะเลาะกันลั่น จังหวะที่ทั้งสองโต้เถียงกันได้มีแก๊งวัยรุ่น 3 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน ผ่านมา คันแรกเป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า โซนิค สีแดง ไม่ทราบทะเบียน

อีกคันเป็นรถ จยย.ฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ไม่ทราบทะเบียนเช่นกัน โดยกลุ่มวัยรุ่นได้ขี่รถวนกลับไปหาผู้ตายเพื่อสอบถาม เพราะเข้าใจว่าตะโกนด่าพวกตน นายเกาะหนีเลยพูดสวนว่า เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามายุ่ง ดึกแล้วทำไมไม่กลับบ้าน สร้างความโกรธแค้นให้แก่กลุ่มวัยรุ่น ตรงเข้าชกต่อยผู้ตาย นายเกาะหนีจึงชักมีดที่พกติดตัวออกมาไล่ฟัน เลยถูกวัยรุ่นใช้ปืนลูกซองสั้นยิงสวนในระยะเผาขนดับคาที่

นอกจากนี้ ชุดสืบสวนได้สอบสวนญาติเพิ่มเติมทราบว่าผู้ตายทำงานอยู่ที่อู่ต่อเรือแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ และมักเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเดือนละครั้ง ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายเพิ่งเดินทางกลับบ้าน จ.ตรัง แต่ยังไม่ทันถึงบ้านได้แวะเที่ยวในตัวเมือง กระทั่งพบกะเทยมาเสนอขายบริการ แต่ตกลงกันไม่ได้ ระหว่างเกิดการโต้เถียงกันได้มีแก๊งอันธพาลวัยรุ่นได้ยินเข้าใจผิดคิดว่านายเกาะหนี หาเรื่องเลยเข้าไปรุมทำร้าย ก่อนใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตอย่างอนาถ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพอรู้ตัวกลุ่มวัยรุ่นต้องสงสัยแล้ว จะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ