คืบหน้า คดีสังหารนามงามเด็ก

จากข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย


สามารถจับนายจอห์น มาร์ค คาร์ วัย 41 ปี ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงจอนเบเน็ต แรมซีย์ นางงามเด็กรัฐโคโลราโด วัย 6 ขวบ เมื่อสิบปีก่อน ได้ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา และมีการส่งตัวนายจอห์น ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ เรียบร้อยแล้วนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ส.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีที่เป็นปริศนาหาตัวฆาตกรมานานนับสิบปีคดีนี้ ว่าผลการตรวจรหัสทางพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ ของนายคาร์ ปรากฏว่าไม่ตรงกับตัวอย่างดีเอ็นเอของเลือดที่พบในกางเกงชั้นในของเด็กหญิงจอนเบเน็ต ทำให้อัยการเขตโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สั่งไม่ฟ้องนายคาร์ในคดีนี้ เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แม้นายคาร์จะยืนยันว่าเขาเป็นผู้ลงมือรัดคอนางงามเด็กรายนี้ด้วยตนเอง

ในเอกสารของอัยการเขตโบลเดอร์ ยังระบุถึง


สาเหตุที่ต้องตัดสินใจจับกุมนายคาร์ว่า เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องนำตัวนายคาร์กลับมาสอบสวนเนื่องจากเป็นวิธีเดียวที่จะนำเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มนายคาร์ไปตรวจ ซึ่งมีการระบุว่าดีเอ็นเอที่พบในตัวเด็กหญิงจอนเบเน็ตเป็นของชายผิวขาว แต่จากการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยมาหลายหน ยังไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดเลย ทั้งนี้ อัยการยังเกรงว่านายคาร์จะไปก่อเหตุกับเด็กหญิงคนอื่นๆ เนื่องจากก่อนถูกจับกุม เขาเตรียมเริ่มงานเป็นครูสอนภาษาในประเทศไทยแล้ว และแสดงความสนใจเด็กหญิงหลายคน ในรูปแบบเดียวกับที่เขาสนใจในตัวเด็กหญิงแรมซีย์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง

ขณะที่นางแมรี เลซี เจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการเขตโบลเดอร์ เปิดเผย


ผลการสอบสวนว่า เจ้าหน้าที่ไม่พบหลักฐานว่านายคาร์เข้าไปอยู่ในบ้านของครอบครัวแรมซีย์ขณะเกิดเหตุ นอกจากนี้ ครอบครัวของนายคาร์เองก็มีหลักฐานที่ยืนยันหนักแน่นว่าเขาอยู่เฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสกับครอบครัวที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ในวันและเวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรมหนูน้อยแรมซีย์

ทั้งนี้ จากการที่อัยการเขตไม่สั่งฟ้อง


ส่งผลให้ เจ้าหน้าที่ต้องยุติการพิจารณาคดีไปด้วย แต่นายคาร์ยังคงถูกคุมขังต่อ เพื่อรอส่งตัวไปดำเนินคดีที่เมืองโซโนมา รัฐแคลิฟอร์เนีย ในข้อหามีภาพอนาจารเด็กไว้ในครอบครอง ซึ่งเป็นคดีที่ก่อขึ้นเมื่อปี 2544

รายงานข่าวยังระบุว่า


นายคาร์ถือเป็นหนึ่งในหลาย รายก่อนหน้านี้ที่เข้ามาสร้างความสับสนให้คดีนี้ด้วยการสารภาพในสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำ โดยนายคาร์เปิดใจกับ สื่อมวลชน หลังถูกจับกุมที่กรุงเทพฯ ว่าเขาอยู่กับเด็กหญิงจอนเบเน็ตขณะที่เธอเสียชีวิต และการเสียชีวิตของหนูน้อยนั้นเป็นอุบัติเหตุ

อย่างไรก็ดี หลังอัยการสั่งไม่ฟ้องนายคาร์


ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยนายบิล โอเวนส์ ผู้ว่าการรัฐโคโลราโด ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งและตำหนิว่าเจ้าหน้าที่ไม่รวบรวมหลักฐานให้เพียงพอเสียก่อน ทำให้รัฐต้องเสียเงินภาษีของประชาชนจำนวนมากไปกับเรื่องนี้ ซึ่งสำนักงานอัยการฯจะต้องรับผิดชอบต่อการเสียงบประมาณตรวจสอบดีเอ็นเอมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐโคโลราโดครั้งนี้


ขณะที่นายเซ็ธ เทมิน ทนายความฝ่ายนายคาร์ก็จวกเจ้าหน้าที่ที่นำตัวนายคาร์มาจากประเทศไทย


ทั้งๆที่ ไม่มีหลักฐานทางนิติเวชใดๆ บ่งชี้ว่าเขากระทำผิด และยังไม่มีหลักฐานอื่นๆ อันนำไปสู่การสรุปว่าเขากระทำผิดจริง และก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา นายแกรี แฮร์ริส โฆษกของครอบครัวคาร์ เปิดเผยว่า เขารู้อยู่แล้ว ว่าผลตรวจดีเอ็นเอจะออกมาไม่ตรงกัน และยังเสริมว่าการถูกครอบงำโดยคดีนี้เป็นเวลานาน ทำให้นายคาร์เกิดปัญหาบุคลิกภาพผิดปกติ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่ฆาตกร นายคาร์ เป็นเพียงคนช่างฝันที่อยากเป็นคนดัง และยังมีความเพ้อฝันว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นร็อกสตาร์

ส่วนนางพาเมลา พาฟ ป้าของเด็กหญิงจอนเบเน็ต กล่าวว่า


รู้สึกผิดหวังที่ไม่มีใครถูกฟ้องในคดีนี้ แต่ก็ยังเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม คดีฆาตกรรมหนูน้อยแรมซีย์เป็นคดีสะเทือนขวัญและได้รับความสนใจอย่างมากในสหรัฐฯ เนื่องจากพ่อแม่ ของหนูน้อยแรมซีย์เองก็เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้เช่นกัน การจับกุมนายคาร์ในฐานะผู้ต้องสงสัยจึงทำให้ ผู้คนหันมาสนใจคดีนี้อีกครั้ง แต่สุดท้ายคดีนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ดำมืดต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผบช.สตม. กล่าวในวันเดียวกันถึงคดีนายจอห์น มาร์ค คาร์ ว่า


การจับกุมนายคาร์ของเจ้าหน้าที่ สตม.ไทยเป็นเรื่องที่ได้รับการประสานจับกุมตามหมายจับของทางการสหรัฐอเมริกา ซึ่งตำรวจไทยมีหน้าที่จับกุม ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องทางคดี เพียง แต่ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.คนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ สตม.มีสิทธิเพิกถอนวีซ่าได้ ถ้าเห็นว่าเป็นผู้ที่เป็นภัยต่อสังคม เช่นเดียวกับกรณีนายจอห์น มาร์ค คาร์ ผู้ต้องหารายนี้ที่ สตม.ได้ดำเนินการควบคุมตัว เพิกถอนวีซ่า และส่งกลับประเทศสหรัฐอเมริกา

พล.ต.ท.สุวัฒน์ยังแสดงความเห็นด้วยว่า


แม้อัยการเขตสั่งไม่ฟ้องนายคาร์ ในคดีหนูน้อยแรมซีย์ แต่นายคาร์ยังมีคดีที่ทางการสหรัฐอเมริกาได้แจ้งข้อหา ในเรื่องที่มีภาพลามกของ ด.ญ.คนดังกล่าวไว้ในครอบครอง เป็นอีกคดีในการดำเนินการ แต่การที่ สตม.เพิกถอนวีซ่าเพราะเห็นว่านายคาร์มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพครูอาจารย์ทำแบบนี้เป็นครูไม่ได้ ต้องช่วยกันป้องกันครูที่ไม่มีใบอนุญาตรับรองที่ถูกต้อง พร้อมกันนี้ ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังโรงเรียนนานาชาติทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบประวัติใบรับรองการทำงานของอาจารย์ต่างชาติ ที่ว่าจ้างมาสอนว่า มีเอกสารถูกต้องหรือไม่ ถ้าพบว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องดำเนินการ ซึ่ง สตม.จะร่วมกับกระทรวงแรงงานเข้าตรวจสอบโรงเรียนนานาชาติทุกแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติย่านสาทรที่นายคาร์เข้าสอนก่อนถูกจับกุม เนื่องจากการตรวจสอบโรงเรียนนานาชาติดังกล่าว ไม่มีใบอนุญาตการเปิดสถานศึกษาตามกฎหมาย และยังพบว่ามีครูชาวต่างชาติประมาณ 30 คน ที่เข้ามาสอนในโรงเรียน ซึ่งภายในสัปดาห์นี้ จะประสานกระทรวงแรงงานเข้าตรวจสอบใบประกอบการทำงานของครูทุกคนในโรงเรียน และดำเนินคดีผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์