คดีอุ้มทนายสมชาย 5นายพล มีสิทธิโดนหมายจับ

"ใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์"


การสอบสวนคดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความและประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่ยังค้างคาใจสังคมมานานกว่า 3 ปี เริ่มใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษควานหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเสนอคณะอัยการลงความเห็นว่า สามารถขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องที่อยู่เบื้องหลังคดีอุ้มทนายคดีเจไอในข้อหาร่วมกันฆ่าได้แน่นอน

ที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาช่วยราชการที่กระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ระหว่างรอ พล.ต.อ.สมบัติ โอนย้ายกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสลับให้นายไกรสร บารมีอวยชัย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน สำหรับสาเหตุที่ต้องย้าย พล.ต.อ.สมบัติ ก็เพื่อให้การสอบสวนคดีนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม มีความคืบหน้าและเพื่อไม่ให้ดีเอสไอตกเป็นจำเลยของสังคม

"ต้องย้ายโดยไม่รอ"


ปลัดประทรวงยุติธรรมกล่าวว่า ที่จำเป็นต้องย้าย พล.ต.อ.สมบัติโดยไม่รอจนกว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรับโอนกลับเป็นตำรวจ เพราะขั้นตอนใช้เวลาอีกนาน แต่ขณะนี้ดีเอสไอต้องเร่งงานสอบสวนคดีสำคัญหลายคดี โดยเฉพาะคดีทนายสมชายจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนตัวผมมองว่า ตำแหน่งรองปลัดกระทรวงจะกระทบกระเทือนจิตใจน้อยที่สุด เพราะ พล.ต.อ.สมบัติก็มีผลงานอยู่บ้าง ถ้าจะย้ายมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงก็ดูจะเป็นการไม่ให้เกียรติกันเกินไป นายจรัญกล่าว

ส่วนความคืบหน้าในการคลี่คลายคดี พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า เรื่องของการออกหมายจับผู้ต้องหานั้น ยืนยันว่า ขณะนี้เป็นเพียงตั้งข้อสงสัยบุคคลต่างๆ ส่วนจะออกหมายจับได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ซึ่งจากการประชุมชุดพนักงานสอบสวนในคดีมีความเห็นของนายสนอง แก่นแก้ว พนักงานอัยการคดีพิเศษ ที่ไม่เห็นด้วยกับการออกหมายจับผู้ต้องหา เนื่องจากการจะออกหมายจับบุคคลใดได้ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะใช้ในการยื่นคำร้องต่อศาล แต่เท่าที่สอบปากคำพยานมากกว่า 60 ปาก เห็นว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อการขออนุมัติหมายจับ ดังนั้น จึงอยากขอเวลาให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกสักระยะหนึ่ง โดยเฉพาะพยานหลักฐานจากการลงตรวจพื้นที่จุดกำจัดขยะของเทศบาลตำบลห้วยชินสีห์ ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาประกอบกับ พยานหลักฐานที่มีอยู่แล้วก่อนมาพิจารณาเรื่องการออก หมายจับอีกครั้ง

"ถ้าพยานแวดล้อมเพียงพอก็สามารถดำเนินคดีได้"


โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวอีกว่า การดำเนินคดีในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยปกติในประเทศไทยต้องพบศพ หรือชิ้นเนื้อที่ยืนยันว่า หากสูญเสียแล้วไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เช่น ในคดีการหายตัวไปของ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ แต่ถ้าดูในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการดำเนินคดีแล้วถึงไม่พบศพ ถ้ารวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันว่ามีการนำตัวผู้ตายไปสถานที่ใด และทำลายศพอย่างไร รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นๆที่ยืนยันว่าบุคคลนั้นเสียชีวิตไปแล้วก็ถือว่าเป็นพยานแวดล้อมที่เพียงพอจะดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาได้

ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.นิติวิทยาศาสตร์และทีมงาน ยังคงปักหลักเดินหน้าลุยค้นหาหลักฐานคดีในที่ทิ้งขยะของเทศบาลตำบลห้วยชินสีห์ อ.เมืองราชบุรี เป็นวันที่ 2 มีกำลังทหารช่างจาก ช. พัน 51 ค่ายบุรฉัตร กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี ใช้รถแบ็กโฮตักขยะออกมาเกลี่ยทิ้งเพื่อหาหลักฐาน ทั้งนี้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์เปิดเผยว่า ทีมงานนิติวิทยาศาสตร์ ลงมือทำงานกันอย่างต่อเนื่อง เริ่มหาในจุดที่ดีเอสไอชี้เป้าผสมกับข้อมูลของเราส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มั่นใจว่าข้อมูลมั่นใจได้แค่ไหน เพราะจุดเผามีพื้นที่ไม่กว้างนัก แต่บริเวณนี้ค่อนข้างกว้าง ต้องดำเนินการเป็นแนวตลอด ชิ้นส่วนกระดูกที่พบบางชิ้นก็ยังแยกไม่ออกว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือของมนุษย์ เนื่องจากชิ้นส่วนกระดูกที่พบมีจำนวนมาก ต้องนำไปพิสูจน์อีกครั้ง ขอยืนยันว่า ถึงแม้การหายตัวไปของทนายสมชายจะผ่านไปเกือบ 3 ปีแล้ว เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่เมื่อมีคนชี้เป้าก็ต้องมาดำเนินการตามหน้าที่และจะทำให้ดีที่สุด

"ข่าวคาดเคลื่อน"


วันเดียวกัน นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ผู้ตรวจราชการสำนักงานอัยการสูงสุดและโฆษกอัยการสูงสุด แถลงว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมขอออกหมายจับผู้กระทำผิดในการประทุษร้ายนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความ แล้วอัยการได้คัดค้านการขอออกหมายจับนั้น ขอชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อน เพราะข้อเท็จจริงมีว่า คดีนี้เดิมได้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ และศาลพิพากษาลงโทษ 1 คน ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการพบพยานบุคคล และพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติมที่แน่นหนาจนเชื่อว่านายสมชายตายแล้ว และมีคนที่เกี่ยวข้องในการฆ่า คณะทำงานประกอบด้วยนายวิเชษฐ์ มุสิกรังษี อัยการพิเศษสำนักงานคดีพิเศษ 1 กับพวก จึงรายงานความคืบหน้าต่อ รมว.ยุติธรรมและปลัดยุติธรรมว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอจะออกหมายจับได้

นายอรรถพลกล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา นายนันทศักดิ์ พูนสุข รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และนายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ อัยการจังหวัดประจำกรม พร้อมคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นพ้องกันว่า คดีมีหลักฐานพอที่จะขอหมายจับผู้เกี่ยวข้องในการหายตัวไปของนายสมชาย ในข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากนั้นให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอไปดำเนินการขอหมายจับ ส่วนจะจับใครบ้าง บอกได้เพียงว่า มีจำเลยชุดเดิมทั้งหมด ส่วนที่เพิ่มเติมยังบอกไม่ได้ เพราะอาจจะไหวตัว แต่ยืนยันว่าในคำร้องขอหมายจับจะบอกว่า นายสมชายตายอย่างไร ใครทำให้ตาย และการกระทำผิดครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกับสำนวนที่ฟ้องไปและมีคำพิพากษาไปแล้ว ส่วนที่อัยการไม่ฟ้องคนกลุ่มนี้ในข้อหาฆ่าเสียแต่แรก เพราะตอนนั้นหลักฐานยังมีไม่เพียงพอ

"เปิดเผยไปจะไหวตัวทันเสียก่อน"


นายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ อัยการจังหวัดประจำกรม ยืนยันเช่นกันว่า พบหลักฐานชัดเจนว่านายสมชายถูกฆ่าแล้ว โดยมีพยานบุคคล พยานวัตถุ และผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ แต่เหตุที่บอกไม่ได้ว่าจะจับใคร เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า คนเหล่านี้มีฝีมือขนาดไหน ดังนั้น หากข่าวแพร่ออกไปจะไหวตัวเสียก่อน

สำหรับพยานหลักฐานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรวบรวมเตรียมขอศาลอนุมัติหมายจับเอาผิดในคดีร่วมกันฆ่าทนายความมุสลิมคนดัง มีรายงานว่า พนักงานสอบสวนของดีเอสไอได้นำสำนวนการสอบสวนของ บช.น.ที่สืบสวนมาก่อนหน้านี้ไปประกอบการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมถึงมูลเหตุหลักที่ทำให้นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายตัวไป น่าจะมาจากที่รับเป็นทนายความให้ผู้ต้องหา 5 คน ในคดีก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนกลุ่มหนึ่งทำร้ายร่างกาย ใช้ไฟฟ้าช็อต ซ้อมอย่างทารุณและทรมานต่างๆนานา เพื่อให้รับสารภาพ เมื่อนายสมชายไปสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดพบพยานหลักฐานมีน้ำหนักว่า นายตำรวจตั้งแต่ระดับนายพลไปจนถึงชั้นประทวนอยู่ในกลุ่มที่ลงมือทารุณผู้ต้องหาจริง จึงทำจดหมายขอให้สอบสวนข้อเท็จจริงไปยังคณะกรรมาธิการวุฒิสภาในวันที่ 11 ม.ค. 47 แต่พอวันรุ่งขึ้นทนายความประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมก็ถูกกลุ่มคนร้ายอุ้มหายไปบริเวณริมถนนรามคำแหง เยื้อง สน.หัวหมาก

"ประชุมสรุปขออนุมัติหมายจับ"


ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นการหายตัวในเรื่องนี้ ถูกนำมาประกอบเชื่อมโยงการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างผู้ต้องหาชุดอุ้มติดต่อกับทีมสั่งการระดับหัวหน้าที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนกลุ่มผู้เกี่ยวข้องในจังหวัดราชบุรีที่แนวทางการสืบสวนของดีเอสไอได้ข้อมูลเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่นำร่างของทนายสมชาย นีละไพจิตร ไปเผาทำลายหลักฐานในคืนวันเกิดเหตุถึงเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีพยานบุคคลอีกบางส่วนยอมให้ข้อมูลในทางลับกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอเกี่ยวกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในขบวนการอุ้มทนายสมชายพยานหลักฐานเพิ่มเติมตรงส่วนนี้เอง พนักงานสอบสวนจึงประชุมสรุปสำนวนเตรียมเสนอขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดัง ตั้งแต่ ระดับ พล.ต.อ. พล.ต.ท. พล.ต.ต.ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 นาย ในคดีร่วมกันฆ่านายสมชาย นีละไพจิตร โดยมีกลุ่มผู้ต้องหาชุดเดิมที่ประกอบด้วย

พ.ต.ต.เงิน ทองสุก สว.กอ.รมน. ช่วยราชการกองปราบปราม พ.ต.ต.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ พนักงานสอบสวน กก.4 ป. จ.ส.ต.ชัยเวงพาด้วง ผบ.หมู่งานสืบสวน ผ.4 กก.2 บก.ทท. ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต เจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน รอง ผกก.3 ป. (ตำแหน่งขณะนั้น) ที่เคยเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปอยู่ในข่ายพัวพันด้วย แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก เป็นเวลา 3 ปี ส่วนที่เหลือให้ยกฟ้องก็ตาม


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์