คดีลูกแป๋งโฉ่ ล่าขรก.ร่วมลวงโลก

จากกรณีตำรวจกองปราบปราม แกะรอยกระชากหน้ากากนางกันต์กนิษฐ์ อังกินันทน์ หรือปานจิต ชิ้นศิริ อายุ 48 ปี ลูกสาวนายปิยะ หรือแป๋ง อังกินันทน์

อดีต ส.ส.และผู้กว้างขวาง จ.เพชรบุรี วางแผนแยบยลสวมรอยเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติคลื่นสึนามิถล่มชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปลายปี 47 จากนั้นเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ สวมบัตรประชาชนของผู้อื่น ทำศัลยกรรมแปลงโฉมใบหน้า ลบปานดำบริเวณแก้มซ้ายซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นประจำตัว เพื่อหวังหนีหนี้ และหลบหนี หมายจับคดีฉ้อโกงหลายสิบคดี รวมมูลค่าความเสียหายนับหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังขอรับเงินสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันชีวิตด้วย แต่ความแตกเพราะไปทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน จนเจ้าหน้าที่พบความผิดปกติ เป็นลายนิ้วมือคนเดียวกับนางกันต์กนิษฐ์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตามรวบตัวนายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 48 ปี สามีนางกันต์กนิษฐ์ ซึ่งสมรู้ร่วมคิดได้พร้อมหลักฐานใบมรณบัตร ของภรรยาและบัตรข้าราชการปลอมอีกหลายรายการนั้น
 

ความคืบหน้า วันที่ 27 มี.ค. ที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร หลังจากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม

ส่งตัวนางกันต์กนิษฐ์ หรือปานจิต ชิ้นศิริ หรืออังกินันทน์ และนายชาญชัย ชิ้นศิริ สามี มาดำเนินคดี ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ 569/2548 ลงวันที่ 8 มิ.ย.48 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ได้มีนายสุขสันต์ ลีละถาวรปัญญา ทนายความของนายเพิ่มเกียรติ โพธิ์เพียรทอง อายุ 44 ปี เจ้าของบริษัท โชคมหาชัย จำกัด ผู้เสียหายที่ถูกนางกันต์กนิษฐ์และสามีฉ้อโกงน้ำมันเชื้อเพลิงรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,640,100 บาท เข้าพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย เพื่อตกลงเจรจาเรื่องค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากฝ่ายนายเพิ่มเกียรติต้องการเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 17 ล้านบาท แต่นายชาญชัยกับนางกันต์กนิษฐ์ยินดีจะจ่ายให้เพียงแค่ 5 ล้านบาทเท่านั้น

 

ต่อมามีหญิงสาว อายุ 44 ปี นำโฉนดที่ดินใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2 ใบ เนื้อที่รวมประมาณ 4 ไร่ มูลค่า 20 ล้านบาท เป็นหลักทรัพย์ขอยื่นประกันตัวสองผัวเมีย

แต่ พ.ต.ท.ไพศาล สังข์เทพ พงส.สภ.เมืองสมุทรสาคร เจ้าของคดี คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากมูลค่าความ เสียหายสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จากนั้นควบคุมตัวทั้งคู่ไปยังศาลจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อฝัดฟ้องฝากขังครั้งแรก ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ในขณะที่พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ได้นำหมายจับเข้าอายัดตัวนายชาญชัย ชิ้นศิริ หรือพงศ์วิทย์ ศรีวิทยพงศ์ ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกง นอกจากนี้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ยังนำหมายจับอีก 1 ใบ ในคดีที่นางปานจิต หรือกันต์กนิษฐ์ ชิ้นศิริหรืออังกินันทน์ และนายชาญชัย ชิ้นศิริ ร่วมกันฉ้อโกง เพื่ออายัดตัวเพิ่ม ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ โดยไม่มีใครยื่นขอประกันตัว

 

ส่วนที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร หรือวัดหน้าเมือง ต.เขานิเวศน์ อ.เมืองระนอง ซึ่งนายชาญชัย ชิ้นศิริ อ้างว่านำศพนางกันต์กนิษฐ์ไปเผา

จากการสอบถามพระครูรณังคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองระนองและเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวิหาร เปิดเผยว่า ไม่แน่ใจว่านายชาญชัยนำศพนางกันต์กนิษฐ์ ภรรยา มาฌาปนกิจหรือไม่ แต่ที่จำได้ว่าประมาณต้นเดือน ม.ค.48 มีชาย 3-4 คน เดินทางไปที่วัด เพื่อขอให้ออกใบรับรองการเผาศพให้กับนางกันต์กนิษฐ์ ชิ้นศิริ โดยอ้างว่าได้นำศพนางกันต์กนิษฐ์ตั้งบำเพ็ญกุศลในวัดก่อนจะทำการฌาปนกิจ แต่ไม่แน่ใจว่ามีการตั้งศพบำเพ็ญกุศลจริงหรือไม่ โดยนำหลักฐานใบรับรองการตายจากทาง อ.เมืองระนองมายื่นแสดง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติสึนามิจึงอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานทางราชการปลอม

 

ด้าน พ.ต.อ.วีรศิลป์ ขวัญเซ่ง ผกก.สภ.ปากน้ำระนอง กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือด่วนที่ รน.0118.1 (ส 1/472) ลงวันที่ 27 มี.ค. 2552 ถึง สภ.เมืองสมุทรสาคร ท้องที่ที่นางกันต์กนิษฐ์ถูกจับกุม

เพื่อขอรายละเอียดการจับกุม นำมาเป็นหลักฐานออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งความเท็จต่อไป  ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2547 เวลา 16.00 น. นายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 42 ปี (ขณะนั้น) อยู่บ้านเลขที่ 218 ซอยริมน้ำ ถ.พาณิชย์เจริญ ต.ท่าทราย อ.เมืองเพชรบุรี ได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่า เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2547 เวลาประมาณ 13.00 น. นางกันต์กนิษฐ์ ชิ้นศิริ อายุ 43 ปี ภรรยา เดินทางไปเที่ยวที่เกาะพยาม อ.เมืองระนอง หลังจากนั้นได้ขาดการติดต่อ และได้ออกติดตามค้นหาในพื้นที่ จ.ระนอง แต่ไม่พบตัว เกรงว่าจะได้รับอันตรายจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ จึงต้องการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ตำรวจช่วยค้นหา ต่อมาเวลา 19.00 น. วันเดียวกัน หลังจากที่เข้าแจ้งความภรรยาหายตัวไปเพียง 3 ชั่วโมง นายชาญชัยได้เข้าแจ้งความอีกครั้งว่าพบศพนางกันต์กนิษฐ์แล้ว โดยพลเมืองดีพบศพลอยอยู่ในทะเล ดังนั้นจะต้องสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ต่อไป


ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 ป. และ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ ป.

สืบสวนขยายผลในประเด็นเรื่องเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการไปขอมีบัตรประชาชน ว่าเข้าข่ายความผิดฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ รวมทั้งขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดหรือให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาด้วย สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะมีความรู้เรื่องการรวบรวมหลักฐานพอสมควร ที่สำคัญหากพบเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนร่วมกระทำผิดก็ไม่สามารถรอดพ้นการดำเนินคดีไปได้  ผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ออกบัตรหรือเอกสารต่างๆให้กับผู้ต้องหา หรือมีเจ้าหน้าที่รายใดที่ให้ความช่วยเหลือก็จะต้องถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด  โดยจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้

 

ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 ป.กล่าวว่า ภายหลังการจับกุมตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งตัวนางกันต์กนิษฐ์และนายชาญชัย ชิ้นศิริ สามี

ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดีตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ 569/2548 ลงวันที่ 8 มิ.ย.48 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งเป็นเงิน 15 ล้านบาท ส่วนคดีตามหมายจับอีกหลายสิบหมายนั้น จะประสานตำรวจท้องที่นั้นๆตรวจสอบว่าคดีหมดอายุความแล้วหรือยัง หากยังไม่หมดอายุความก็ให้ทำเรื่องอายัดตัวเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ กองปราบปรามจะสืบสวนขยายผลในเรื่องการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน กรณีจัดฉากการเสียชีวิตให้กับนางกันต์กนิษฐ์ โดยจะประสานขอพยานหลักฐานกับ พงส.สภ.ปากน้ำ จ.ระนอง ท้องที่เกิดเหตุ และให้ตำรวจท้องที่เป็นผู้ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่นเดียวกับเรื่องการสวมบัตรประชาชนของผู้อื่น ก็จะทำหนังสือถึงต้นสังกัดเจ้าของบัตรประชาชนแต่ละใบเพื่อตรวจสอบในเรื่องนี้ หากพบว่ามีผู้กระทำผิดก็จะให้ต้นสังกัดนั้นๆเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจท้องที่ นอกจากนี้จะสืบสวนในเชิงลึกถึงเส้นทางการเงิน การถ่ายโอนทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้งสองรายด้วย ส่วนผู้ที่ให้การช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องการช่วยเหลือไม่ให้ถูกจับกุม การถ่ายโอนทรัพย์สิน หรือหาที่อยู่อาศัยให้นั้นก็จะถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน ขณะนี้มีผู้ให้เบาะแสว่ามีบุคคลมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

 

ในส่วนของสำนักกฎหมายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ปรากฏว่า ได้รื้อแฟ้มคดีฉ้อโกงของนางกันต์กนิษฐ์ ชิ้นศิริ ที่ทำธุรกรรมกับ ปตท.ไว้เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา 

พบว่าในส่วนคดีของนางกันต์กนิษฐ์มีทั้งที่ถูก  ปตท.ฟ้องร้องทางคดีแพ่งและอาญาข้อหาจ่ายเช็คเด้งค่าน้ำมันประมาณ 300-500 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีทั้งคดีดำ (อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง) และคดีแดง (ศาลตัดสินแล้ว) โดยคดีแดงส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเช็คเด้งค่าซื้อน้ำมันเพื่อนำไปจำหน่ายให้ปั๊
มน้ำมันต่างๆต่อ หรือที่เรียกว่า จ๊อบเบอร์ ซึ่งวงเงินดังกล่าวมีการจ่ายเช็คเด้งหลายใบ ทำให้ต้องทยอยฟ้องร้อง บางคดีกลายเป็นคดีแดงที่ศาลตัดสินให้ ปตท. เป็นผู้ชนะและอยู่ระหว่างการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อนางกันต์กนิษฐ์เสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ

แต่ ปตท.ก็ยังได้เงินคืนจากหนี้ดังกล่าวบางส่วน แต่เป็นจำนวนที่ค่อนข้างน้อยมาก และเสียเวลานานกว่าจะได้เงินคืน

เพราะต้องรอให้มีการขายทรัพย์สินทอดตลาดก่อน ส่วนของคดีดำจะเป็นคดีจ่ายเช็คเด้งเหมือนกัน แต่คดีต้องหยุดชะงักไปจากกรณีนางกันต์กนิษฐ์เสียชีวิตจากเหตุสึนามิ อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ได้ ปตท.ก็จะเข้ายื่นข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาล เพื่อให้ดำเนินคดีกับนางกันต์กนิษฐ์ต่อไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนี้สินในส่วนของนายปิยะ อังกินันทน์ บิดาของนางกันต์กนิษฐ์ ที่ทำไว้กับ ปตท.นั้น

ส่วนใหญ่แล้วเป็นการติดหนี้ค่าซื้อน้ำมันของ ปตท.ไปจำหน่ายในปั๊มน้ำมันของนายปิยะที่ จ.เพชรบุรี ส่วนมูลค่าหนี้สินขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ระหว่างการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับนายปิยะตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ นายปิยะเคยเปิดปั๊มน้ำมัน ใน จ.เพชรบุรี หลายแห่ง และเป็นปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ ที่สุดของประเทศมาแล้ว แต่ต้องประสบปัญหาขาดทุนจนต้องปิดกิจการไปโดยปริยาย

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์