คดีพระดับปริศนา เรียกคืนทรัพย์สิน มอบให้มส.จัดการ

กรณีพระไกรสร มนุญโญ อายุ 51 ปี เจ้าสำนักสงฆ์ ธรรมสถานสุทธิวงศ์อุดมสุข บ้านทุ่งลุง หมู่ 2 ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พระนักเทศน์ชื่อดัง มรณภาพปริศนา เมื่อปลายปี 50 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ไปพบศพพระไกรสรแขวนคอตายอยู่ในกุฏิ จากการตรวจสอบสภาพศพเบื้องต้นพบพิรุธหลายอย่าง บรรดาลูกศิษย์เชื่อว่าพระไกรสรถูกฆาตกรรม ตำรวจจึงส่งศพไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด

 แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ
 
เพราะทรัพย์สินมีค่าจำนวนมากที่อยู่ในกุฏิ ซึ่งลูกศิษย์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาตินำมาฝากไว้กับพระไกรสรได้หายไป โดยส่วนหนึ่งถูกตำรวจอายัดไว้ และอีกส่วนหนึ่งมีญาติและบุคคลใกล้ชิดพระไกรสร มาขอรับไปทั้งที่ไม่มีพินัยกรรม และยังไม่มีการพิสูจน์สิทธิ์ความเป็นเจ้าของ กระทั่งลูกศิษย์ในประเทศสิงคโปร์ ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังสถานทูตไทยในสิงคโปร์ ให้ ช่วยเร่งรัดคดีนี้ให้เกิดความกระจ่างโดยเร็วนั้น
 

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 14 มี.ค.

พ.ต.อ.สาคร ทองมุณี รอง ผบก.ภ.จ.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการตรวจสอบคดีการมรณภาพปริศนาของพระไกรสร เปิดเผยว่า ภายหลัง พล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร ผบก.ภ.จ.สงขลา ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทั้งสองกรณีดังกล่าว โดยมอบให้ตนเป็นหัวหน้าชุดทำงานคลี่คลายคดีนั้น คณะทำงานได้ประชุมหารือกันแล้วมีข้อสรุปว่า จะเรียกคืนทรัพย์สินทุกรายงานที่มีการแบ่ง หรือคัดแยกไปโดยบุคคลใดก็ตามกลับคืนมาทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร อันไหนเป็นทรัพย์สินของวัด อันไหนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระไกรสร และอันไหนเป็นทรัพย์สินที่ลูกศิษย์นำมาฝากไว้ จะต้องแยกแยะที่มาที่ไปให้ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม
 
เนื่องจากพระไกรสรเสียชีวิตขณะบวชเป็นพระ จึงอยู่ในความดูแลของมหาเถรสมาคม ดังนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดที่ติดตามรวบรวมกลับคืนมา จะมอบให้มหาเถรสมาคมดำเนินการตามกระบวนการของสงฆ์ เพื่อความกระจ่างแจ้งแก่สังคม ส่วนสาเหตุการตายของพระไกรสร ด้านการสืบสวนสอบสวนก็ว่ากันไปตามสำนวนพยานหลักฐาน โดยเฉพาะประเด็นการเสียชีวิต ให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำแพทย์ที่ทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด รวมทั้งผลการตรวจด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พบในวันและสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ลายนิ้วมือแฝงทั้งจากศพและภายในกุฏิ รวมทั้งบุคคลผู้ต้องสงสัยต่างๆ และผู้ที่ไปพบศพครั้งแรกว่าเกี่ยวข้องอย่างไร

“คดีนี้จะต้องมีการสืบสวนเชิงลึก เกี่ยวกับความใกล้ชิดของลูกศิษย์บางคนเป็นกรณีพิเศษ เพื่อหาประเด็นการเสียชีวิตของพระไกรสร ขณะนี้มีพยานพบเห็นบุคคลผู้หนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระไกรสร มีพฤติกรรมบางอย่างมีพิรุธซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อรูปคดี คาดว่าจะสามารถชี้แจงความกระจ่างเกี่ยวกับคดีต่อสาธารณชนได้เร็วๆนี้” รอง ผบก.ภ.จ.สงขลากล่าว

ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจภูมิภาค “ไทยรัฐ” รายงานว่าชนวนเหตุที่ลูกศิษย์เชื่อกันว่า
 
พระไกรสรถูกฆาตกรรมนั้น เนื่องจากตามแนวทางสืบสวนสอบสวนของชุดสืบสวน ศสส.ภ.9 พบว่า ก่อนมรณภาพ พระไกรสรทราบเรื่องที่ลูกศิษย์ 2 คน คนแรกเป็นปลัดจังหวัด ส่วนอีกคนเป็นรอง ผวจ. ของอีกจังหวัดหนึ่ง ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ค้าน้ำมันเถื่อนทั้งในทะเลและบนบก โดยการค้าน้ำมันเถื่อนในทะเล จะมีเรือขนาดใหญ่เป็นปั๊มลอยอยู่ กลางอ่าวไทย เพื่อให้บรรดาเรือประมงเข้าไปเติมน้ำมัน ดีเซลหนีภาษีที่ปั๊มดังกล่าว ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันตามท้องตลาด ขณะที่การขนส่งทางบก จะมีขบวนรถน้ำมันขนน้ำมันจากฝั่งประเทศมาเลเซียเข้ามาในเขตไทย โดยมีกลุ่มอิทธิพลผู้ร่วมค้าเป็นผู้เคลียร์เส้นทางในการขนส่ง ต่อมาข้าราชการทั้ง 2 คน เกิดขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่องปัมลอยกลางทะเล และรถขนน้ำมันถูกจับหลายครั้ง กลุ่มผู้ร่วมขบวนการสงสัยว่า จะมีคนในเป็นไส้ศึกหักหลังกันเอง เพื่อหวังรางวัลนำจับและผลงาน
 

ต่อมาฝ่ายปลัดจังหวัดได้ปูดข้อมูลเรื่องที่ฝ่ายรอง ผวจ. สั่งให้ลูกน้องที่เป็น อส.

ลักลอบนำอาวุธปืนสงครามและกระสุนปืนของทางราชการที่เบิกจ่ายมาเกินจำนวนไปขาย ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเตรียมระเบิดศึกใหญ่ล้างบางกันเอง พรรคพวกในกลุ่มผู้ร่วมขบวนการเกรงเรื่องราวจะบานปลาย จึงนำเรื่องไปปรึกษากับพระไกรสร เพราะทราบว่าพระนักเทศน์ชื่อดัง มีลูกศิษย์ลูกหาที่ให้ความเคารพนับถือ เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งใหญ่โตกว่าทั้ง 2 คน คงจะช่วยพูดตักเตือนได้ พร้อมขอให้พระไกรสรเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยสงบศึก พระไกรสรจึงทราบข้อมูลทั้งหมด แต่ปฏิเสธที่จะไกล่เกลี่ยให้ แต่ได้เรียกทั้งสองฝ่ายมาเตือนสติให้เลิกพฤติกรรมในการกระทำผิดกฎหมาย และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เมื่อทั้งสองฝ่ายทราบว่าพระไกรสรล่วงรู้ความลับ เกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อขบวนการ จึงพากันถอนตัวออกห่างไม่เข้าไปใกล้ชิดกับพระไกรสรเหมือนเดิม กระทั่งพระไกรสรเสียชีวิตปริศนาดังกล่าว