กินกล้วยนํ้าว้าสำลักติดหลอดลมช็อกตาตั้ง

ชาวบ้านกรุงเก่ากินกล้วยน้ำว้า เผลอสำลักไหลลงคอติดอยู่หลอดลม ช็อคตาตั้งล้มหงายหลังตึง

ต้องหามส่งหมอเพื่อช่วยปั๊มหัวใจแต่อาการยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากคนไข้เป็นโรคเบาหวาน และความดันสูง หมอเตือนเด็กและผู้สูงอายุที่รับประทานอาหาร ถ้าเกิดการสำลักควรล้วงเอาอาหารที่ลำคออกให้ได้ เพื่อเปิดทางเดินหายใจ ส่วนรายนี้อาการยังโคม่า เพราะขาดอากาศไปเลี้ยงสมองเป็นเวลานาน


เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 9 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก รพ.พระนครศรีอยุธยา ว่ามีคนไข้ถูกส่งตัวมาจาก รพ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

ชื่อนายอุดร ขวัญยืน อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/1 หมู่ 2 ต.บางกระสั้น อ.บางปะอิน ได้กินกล้วยน้ำว้าแล้วสำลักจนหมดสติ จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ พบนางอำนวย ขวัญยืน อายุ 50 ปี ภรรยาของนายอุดร เปิดเผยว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมาสามีได้กินกล้วยน้ำว้าสุก ยาวประมาณ 5 นิ้ว เข้าไป 1 ลูก
 
ปรากฏว่าระหว่างกัดกล้วยน้ำว้าอยู่นั้น ได้เกิดสำลักทำให้กล้วยไหลลงไปในคอติดอยู่ที่หลอดลม และหงายหลังล้มลง

จึงช่วยกันใช้นิ้วพยายามล้วงเอาออกมาได้ครึ่งลูก ส่วนอีกครึ่งลูกไหลลงไปในลำคอ จึงใช้มือตบด้านหลังจนเศษกล้วยไหลออกมาบ้าง แต่นายอุดรมีอาการเกร็งแล้วสลบไป จึงช่วยกันนำส่ง รพ.บางปะอิน แพทย์พยายามช่วยเหลือด้วยการล้วงเอาเศษกล้วยน้ำว้าออก และช่วยกันปั๊มหัวใจแต่อาการยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากสามีเป็นโรคเบาหวาน และโรคความดันสูง ตนเชื่อว่าสามีหมดสติไปเพราะเกิดจากการกินกล้วย
 
ทางด้าน นพ.วีระพล ธีระพันธ์เจริญ ผอ.รพ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า รับคนไข้รายนี้มาจาก รพ.บางปะอิน โดยมีอาการหมดสติไปแล้ว

เบื้องต้นทราบว่าเกิดจากการกินกล้วย แต่ตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีกล้วยเข้าไปขวางหลอดลม เนื่องจากญาติช่วยกันล้วงออก รวมทั้งแพทย์ รพ.บางปะอินได้ตรวจสอบในกระเพาะพบเพียงเศษกล้วยชิ้น   เล็ก ๆ อยู่เท่านั้น ประกอบกับคนไข้รายนี้มีโรคประจำตัว ส่งผลทำให้ช็อกหมดสติ ขณะนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จึงขอฝากเตือนเด็กและผู้สูงอายุที่รับประทานอาหาร ถ้าเกิดการสำลักควรจะล้วงเอาอาหารที่ลำคอออกให้ได้ เพื่อเปิดทางเดินหายใจ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ให้เอามือดันแล้วกระแทกที่ลิ้นปี่โดยก้มหน้าลง เศษอาหารจะเคลื่อนออกมา ถ้าเป็นเด็กให้จับเด็กคว่ำหน้าแล้วตบหลังเศษอาหารจะออกมาเอง ส่วนอาการของนายอุดรยังสาหัสอยู่เพราะขาดอากาศไปเลี้ยงสมองเป็นเวลานานพอสมควร ทางแพทย์พยายาม ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์