อย่าประมาทภัยระเบิด

"กระแสข่าวขู่วางระเบิด"


ตามที่มีกระแสข่าวการขู่วางระเบิดในพื้นที่ กทม. โดยการส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ตต่อกันเป็นทอดๆ จนประชาชนหวาดผวา เกรงว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชาและวันสงกรานต์นั้น เมื่อวันที่ 23 ก.พ. พล.ต.ต.กมล แก้วสุวรรณ รอง ผบช.น. กล่าวว่า บช.น.ได้มีการประชุมด้านการข่าวเพื่อประเมินสถานการณ์กันทุกสัปดาห์ ซึ่งผลจากคนร้ายก่อเหตุป่วน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเพิ่มจุดเฝ้าระวังในเมืองกรุงจากเดิม 300 จุด เพิ่มความเข้มขึ้นเป็นกว่า 1,000 จุด เน้นรักษาความปลอดภัย สถานทูต หน่วยงานราชการ ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ

แหล่งตลาดนัดและย่านชุมชน ให้ตำรวจสายตรวจเพิ่มกำลังตั้งด่านวันละ 5 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง โดยประสานกำลังจากหน่วยทหารกองทัพภาคที่ 1 และเจ้าหน้าที่เทศกิจเข้าร่วมเสริมกำลังออกตรวจอีกด้วย ส่วนที่มีผู้ไม่หวังดีก่อกวนส่งข้อความอีเมล์ขู่ระเบิดป่วนกรุงนั้น ให้ศูนย์สืบสวนนครบาลและศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ บช.น. ตรวจ สอบหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี และที่สำคัญขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยสอดส่องสังเกตบุคคลต้อง สงสัยและวัตถุที่คาดว่าจะเป็นระเบิดให้แจ้งตำรวจทันที

ด้าน พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่ประเทศออสเตรเลียแจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังการเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย เพราะอาจเกิดเหตุระเบิดขึ้นว่า ออสเตรเลียแจ้งเตือนให้ประชาชนอย่าประมาท ทั้งนี้ ข่าวที่ว่าจะมีเหตุระเบิดเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ขณะนี้ลือกันไปถึงต่างประเทศแล้ว แต่จากการตรวจสอบของหน่วยข่าวยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีการเคลื่อนไหวเข้ามาก่อเหตุใน กทม. แต่ก็ได้แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวัง อย่าประมาท ทุกคน

ต้องช่วยกันเฝ้าระวัง อย่าไปแตกตื่นกับเหตุการณ์ เพราะจะส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากคนไม่หวังดี ปล่อยข่าวออกมาก็ได้ กองทัพภาคที่ 1 มีเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด โดยประสานกับตำรวจ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับ รมว.กลาโหม ให้จัดหน่วยข่าวติดตามสถานการณ์และจัดเตรียมกำลังต่างๆ หากมีอะไรเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะแก้ไขได้ทันที

"กระทรวงต่างประเทศประกาศเตือนนักท่องเที่ยว"


เมื่อถามว่า การแจ้งเตือนจะเป็นการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า ทางราชการหรือตำรวจจะต้องเช็กกับหน่วยข่าว โดยเฉพาะรัฐบาลต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพื้นที่ กทม. ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หน่วยข่าวยังไม่มีการรายงานชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่มีข่าวลือปล่อยออกมาว่าจะเกิดเหตุการณ์ตรงนั้นตรงนี้ เมื่อถามว่า ข่าวลือที่เกิดขึ้นจะสร้างผลกระทบในด้านเศรษฐกิจอย่างไร พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอดูรายละเอียดก่อน เราอย่าไปตื่นเต้นตกใจจนเกินเหตุ

ส่วนนายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า การข่าวที่ตรงกันหลายฝ่าย เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่เฉพาะแต่กรุงเทพฯเท่านั้น จังหวัดต่างๆ ก็ต้องตื่นตัวไม่ประมาท อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่ากลุ่มที่ขู่ว่าจะเข้ามาก่อเหตุจะลุกลามมาจากกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ไม่อยากให้ด่วนสรุปและกังวลจนเกินไป

สำหรับกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และแคนาดา ได้ปรับคำเตือนนักท่องเที่ยวในประเทศไทย แนะนำให้เพิ่มความระมัดระวัง การก่อเหตุวางระเบิดในบริเวณสถานที่ชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดินนั้น นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวถือเป็นสิทธิของแต่ละประเทศที่จะออกประกาศเตือน

เพื่อดูแลประชาชนของประเทศตนเอง ซึ่งประเทศออสเตรเลียมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในอดีต เช่น เหตุระเบิดที่เกาะบาหลี ส่งผลให้นักท่องเที่ยวออสเตรเลียเสียชีวิตจำนวนมาก หวังว่าการออกประกาศเตือนของแต่ละประเทศจะใช้วิจารณญาณ และใช้คำในประกาศเตือนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง มีความเหมาะสม สำหรับมาตรการดูแลความปลอดภัย ทางการไทยมีมาตรการที่ชัดเจนอยู่แล้ว

"ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซด์"


ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สถานทูตออสเตรเลียในกรุงเทพฯ ได้ออกแถลงการณ์ในเว็บไซต์ www.austembassy.or.th เตือนชาวออสเตรเลียในประเทศไทยให้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ หลังได้รับรายงานที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงสูง ที่จะมีการลอบวางระเบิดอีกระลอกตามสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านในกรุงเทพฯ อาทิ ห้างสรรพสินค้า รถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน ในวันศุกร์ที่ 23 ก.พ. ส่วนคำแนะนำด้านการเดินทางในเว็บไซต์ของสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

รอยเตอร์รายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้เกิดเหตุลอบวางระเบิดหลายลูกในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในกรุงเทพฯ เมื่อ 31 ธ.ค. 2549 มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บราว 30 คน รวมทั้งชาวต่างชาติ 6 คน รัฐบาลไทยชี้ว่า เหล่านักการเมืองที่สูญเสียอำนาจหลังการก่อรัฐประหารยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 19 ก.ย. ปีที่แล้วเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

โดยเจ้าหน้าที่สอบสวนบางคนเผยว่า อาจเป็นฝีมือกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 2,000 ศพ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีเหตุลอบวางระเบิดและก่อเหตุรุนแรง 50 จุด รวมทั้งการยิงถล่มและลอบวางเพลิงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา มีผู้เสียชีวิต 8 ศพ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์