ใต้ยิงดับ 4 ศพ เผา ´โรงเรียน´

"อาคารไหม้อย่างรวดเร็ว"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 03.30 น. วานนี้ (25 ธ.ค.) พ.ต.ท.นฤชา สุวรรณลาภา รอง ผกก.ป.สภ.อ. โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงเรียนบ้านป่าบอน ม.1 ต.ป่าบอน จึงประสานรถดับเพลิงรุดไป ระงับเหตุ ปรากฏว่าระหว่างทางถูกคนร้ายตัดต้นไม้ล้มขวางทางและโรยตะปูเรือใบดักไว้เต็มถนนทางเข้าจุดเกิด เหตุ ต้องใช้เวลาเคลียร์เส้นทางนานกว่า 30 นาที พบว่า เพลิงกำลังลุกไหม้เผาอาคารเรียนถึง 2 หลัง ที่อยู่ใกล้กัน โดยอาคารแรกเป็นอาคารเรียนคอนกรีตชั้นเดียว ต้นเพลิง เกิดขึ้นในห้องชั้น ป.1 รวม 2 ห้อง เพลิงลุกไหม้โต๊ะเก้าอี้และกระดานสอนหนังสือเสียหายทั้ง 2 ห้อง ส่วนอีกจุด เป็นอาคารเรียนสร้างด้วยไม้ชั้นเดียว สอนระดับชั้น ป.2-ป.6 รวม 8 ห้อง เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็วจนไหม้หมดทั้งหลังไม่สามารถดับไฟได้ทัน

จากการตรวจสอบ พบว่าในอาคารเรียนหลังแรก มีเศษผ้าชุบน้ำมันเบนซินตกอยู่ในห้องต้นเพลิงจำนวนหนึ่ง ส่วนอาคารเรียนหลังที่ 2 ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบหาหลัก ฐาน เพราะถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง ขณะเดียวกันจากการสอบสวนชุดรักษาความปลอดภัยโรงเรียน ระบุว่า ช่วงเกิด เหตุเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนเวรใหม่ ทำให้คนร้ายฉวยโอกาสดังกล่าวบุกเข้ามาวางเพลิงเผาโรงเรียนจนเสียหาย ส่งผลให้ เด็กนักเรียนกว่า 100 คน ไม่มีห้องเรียนหนังสือ ต้องใช้วิธี กางเต็นท์ในสนามฟุตบอลใช้เป็นที่เรียนหนังสือชั่วคราว

"อาละวาดฆ่าคนเป็นว่าเล่น"


นอกจากการวางเพลิงเผาโรงเรียนแล้ว กลุ่มโจรใต้ ยังอาละวาดไล่ฆ่าคนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง โดยเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 25 ธ.ค. พ.ต.อ.สมจิตร นาสมยนต์ ผกก.สภ.อ. เมืองปัตตานี รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตริมถนนสายปัตตานี-ยะลา เชิงสะพานตะลุโบะ ต.จะบังติกอ จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต. ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี นำกำลังรุดไปตรวจ สอบ พบศพ ส.อ.รุสหลัน วาเดง อายุ 27 ปี สังกัดหน่วย เฉพาะกิจที่ 25 ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี อยู่บ้านเลขที่ 15/2 หมู่ 6 บ้านยาบี ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี นอนตายอยู่ข้างรถ จยย.ฮอนด้า ทะเบียน กนง 728 ปัตตานี สภาพศพถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาด บริเวณศีรษะ ด้านขวา 1 นัด กระสุนฝังใน ที่เอวขวายังเหน็บปืน 9 มม. ไว้ 1 กระบอก สอบสวนทราบว่า ผู้ตายขี่รถ จยย.ออกจาก บ้านจะไปเข้าเวรในค่าย ระหว่างทางมีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถ จยย.แซงประกบ ชักปืนจ่อยิงผู้ตายที่ไม่ทันระวังตัว และไม่มีโอกาสได้ชักปืนยิงต่อสู้ กระเด็นตกจากรถ จยย. เสียชีวิตคาที่ คาดเป็นฝีมือโจรใต้สร้างสถานการณ์รายวัน

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่นายสมจิตร บูรณะทอน อายุ 34 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป อยู่บ้านเลขที่ 141 ม.5 ต. บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ขี่รถ จยย.ฮอนด้า ทะเบียน กพว 5 ปัตตานี กลับจากส่งลูกที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง มาถึง บริเวณหมู่ 4 ริมถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ต.บางเขา อ.หนองจิก ถูก 2 คนร้ายเป็นชายขี่รถ จยย.ตามประกบยิง ด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาด ถูกบริเวณชายโครงขวา 2 นัด กระสุนฝังในร่วงตกจากรถ จยย.บาดเจ็บสาหัส พลเมืองดีนำส่ง รพ.ปัตตานี แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิต ในเวลาต่อมา หลังเกิดเหตุทาง พ.ต.อ.ถวัลย์ นคทราวงศ์ ผกก.สภ.อ.หนองจิก นำกำลังรุดไปตรวจสอบ เชื่อเป็นฝีมือ โจรใต้สร้างสถานการณ์เช่นกัน



"ยิงจมกองเลือดคาถนน"


ถัดมาเวลา 12.00 น. พ.ต.อ.สมจิตร นาสมยนต์ ผกก.สภ.อ.เมืองปัตตานี ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงบนถนนสาย บายพาส ม.7 ต.ปะกาฮารัง นำกำลังรุดไปที่เกิดเหตุ พบรถ จยย.ฮอนด้า ล้มอยู่ข้างทาง ใกล้กันพบผู้ได้รับบาดเจ็บนอนหมดสติจมกองเลือด จึงรีบนำส่ง รพ.ปัตตานี ก่อนจะ เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อนายบือราเฮง สาและ อายุ 36 ปี เป็นลูกจ้าง กอ.สสส.จชต. อยู่บ้านเลขที่ 26 ม.8 ต.ปะกาฮารัง ถูกยิงด้วยอาวุธปืน 9 มม. เข้าลำตัว 3 นัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุน 9 มม. จำนวน 3 ปลอก จึง เก็บไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายขี่รถ จยย.จะเข้าไปทำธุระในตัวเมืองปัตตานี ถูก 2 คนร้าย ตามประกบยิงก่อนเร่งเครื่องหลบหนีไป ส่วนสาเหตุน่า จะมาจากเรื่องความไม่สงบในภาคใต้

ส่วนที่ จ.ยะลา เมื่อเวลา 19.30 น. คืนวันเดียวกัน ร.ต.ท.ศิริชัย สุขสารัญ ร้อยเวร สภ.อ.บันนังสตา จ.ยะลา รับแจ้งมีคนถูกยิงที่หน้าโรงเรียนบ้านธารทิพย์ หมู่ 6 บ้านบือซู ต.บันนังสตา รุดไปตรวจสอบพบศพนายมะสานิ บินมะ อายุ 23 ปี เป็นราษฎรในหมู่บ้านถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดบริเวณลำตัวรวม 5 นัด นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย คือนายมะเซอร์ เฮ็มปี อายุ 29 ปี ถูกยิงที่ขาทั้ง 2 ข้าง นำส่ง รพ.บันนังสตา จากการสอบสวนทราบว่าทั้งคู่กำลังจะเดินไปละหมาดที่มัสยิดใกล้จุดเกิดเหตุ แต่ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนซุ่มยิงจากป่าละเมาะข้างทางจนเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว คาดเป็นฝีมือโจรใต้สร้างสถานการณ์รายวัน

"ปิดล้อมตรวจค้น"


ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 22.30 น. คืนวันที่ 24 ธ.ค. พ.ต.อ.โพธ สวยสุวรรณ ผกก.สภ.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นภายในซอยสามพี่น้อง ชุมชนบางแฟบ หลังวัดหาดใหญ่ใน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ หลังได้รับข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติส่วนหน้า จ.ยะลา (ศปก.ตร.สน.ยะลา) ว่ามีกลุ่มวัยรุ่นจากพื้นที่ อ.ศรีสาคร อ.แว้ง จ.นราธิวาส และ อ.เมืองยะลา เข้ามาหลบอยู่ในซอยดังกล่าว เกรงว่าอาจจะมีเบื้องหลังแอบแฝง จากการตรวจค้นพบวัยรุ่นชายรวม 20 คน แบ่งกระจายพักอยู่ตามบ้านเช่าภายในซอยดังกล่าว จึงนำตัวมาสอบสวนทำประวัติ พบว่าส่วนหนึ่งมาเรียนหนังสือ อีกส่วนหนึ่งมาทำงานหาเลี้ยงชีพ หลังสอบปากคำเสร็จสิ้นจึงปล่อยตัวไปชั่วคราว

ส่วนความคืบหน้าเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังมีเหตุคนร้ายยิงครูโรงเรียนชุมชนบ้านตาแกะเสียชีวิตไป 1 คนและบาดเจ็บสาหัสอีก 1 คนนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ธ.ค. ที่ห้องประชุมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ 1 จังหวัดปัตตานี นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ รอง ผวจ.ปัตตานี พร้อมด้วย พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ตัวแทนฝ่ายตำรวจ และทหาร ร่วมกับนายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูปัตตานีและคณะกรรมการสมาพันธ์ฯ กว่า 50 คน ได้ร่วมประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยครู พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อรับทราบแนวทางการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน เพื่อให้ครูมีความมั่นใจในด้านความปลอดภัย

"ทหารไม่เพียงพอ หละหลวมการปฏิบัติหน้าที่"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการประชุมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มีการหยิบยกประเด็นเรื่องกำลังทหารที่มีไม่เพียงพอและมาตรการบางอย่างที่หละหลวมเกินไปขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน หลังใช้เวลาหารือนานกว่า 2 ชม. จึงได้ข้อสรุปว่า 1. ให้จัดกำลังตำรวจ หรือทหารพร้อมอาวุธคุ้มกันครูทั้งไปและกลับจากโรงเรียน ตลอดจนระหว่างที่ทำการสอนด้วย หากครูมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน หรือเดินทางออกนอกพื้นที่และเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย สามารถร้องขอกำลังไปคอยดูแลได้ตลอด 24 ชม. 2. ให้ติดตั้งรั้วลวดหนามทุกโรงเรียนเพื่อป้องกันเหตุลอบวางเพลิง หรือเข้าไปทำร้ายครูและนักเรียน โดยมีกำลังติดอาวุธคอยดูแลอีกชั้นหนึ่ง 3. ให้เพิ่มการตรวจตราตามเส้นทางสายต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุลอบวางระเบิดหรือซุ่มโจมตีครู ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าการประสานทุกอย่างให้ผ่านทางตัวแทนระดับอำเภอ หรือตำบลเป็นหลัก เพื่อให้การประสานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความคล่องตัวมากขึ้น

ด้านนายธีระ มินทราศักดิ์ ผวจ.ยะลา กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว นายเปาซี ปาแดปูซู อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา หลัง ตรวจสอบพบว่ามีส่วนร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ส่วนราชการทุกหน่วยจะต้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบคุณสมบัติ และติดตามความประพฤติของเจ้าหน้าที่ ในส่วนของนายเปาซีนั้น รับราชการเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดนมาเกือบ 20 ปี เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวก็จะต้องถูกลงโทษทางวินัยด้วย

"ไทยพุทธกลับบ้านแล้ว 60 ราย"


ส่วนความช่วยเหลือคนไทยพุทธที่อพยพมาอาศัยอยู่ที่วัดนิโรธสังฆราม อ.เมืองยะลา ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อดูแลพี่น้องคนไทยพุทธที่อพยพเหล่านั้นอยู่แล้ว โดยมีปลัดจังหวัดยะลาเป็นประธานขณะนี้ทราบว่า มีราษฎรที่สมัครใจกลับบ้านไปแล้ว 60 ราย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ส่วนราษฎรที่ยังไม่พร้อมอีกประมาณ 70 คน ทางราชการจะคอยดูแลช่วยเหลือต่อไปไม่ได้ทอดทิ้ง การที่ชาวบ้านบอกว่าหากทางภาครัฐไม่มาดูแลช่วยเหลือภายใน 15 วัน จะเดินทางไปขอความช่วยเหลือที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น ทางจังหวัดไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังประชุมเพื่อหาทางออกอยู่แล้ว คาดว่าน่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนในช่วงหลังปีใหม่ ส่วนกระแสข่าวที่ว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้กำชับให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าไปประสานกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชนต่างๆให้คอยเป็นหูเป็นตาให้กับทางการแล้ว คาดว่าน่าจะมีส่วนช่วยป้องกันเหตุร้ายได้ในระดับหนึ่ง ผวจ.ยะลาสรุป

เมื่อเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ นายกฯพบสื่อทำเนียบฯ ถึงผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ว่า ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจตามแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาดำเนินการ โดยที่รัฐบาลได้ปรับนโยบายมาใช้แนวทางสันติวิธีเป็นบรรทัดฐานในการขจัดความขัดแย้ง และสร้างความเข้าใจ ความรัก และสามัคคีให้เกิดขึ้น โดยดำเนินการด้วยความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรม ซึ่งจะต้องฟื้นฟูอำนาจรัฐ พร้อมเปิดให้ทุกส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และจะนำเรื่องเข้าประชุม ครม.ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ เพื่อให้เป็นส่วนราชการที่ถูกต้องตามระเบียบการบริหารงาน ส่วนเรื่องการจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ให้มีบทบาทเรื่องการดูแลและรักษาความมั่นคงภายในให้มากขึ้นนั้น อยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียดอยู่

ภาพประกอบข่าวจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น



"วิจารณ์การทำงานไม่ได้ผล"


ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่คนไทยพุทธที่อพยพออกจากพื้นที่ อ.บันนังสตา ไปอยู่ที่วัดนิโรธสังฆาราม อ.เมืองยะลา เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะยกขบวนมาประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า มีประชาชนที่อพยพออกมา 130 คน กลับเข้าในพื้นที่แล้ว 58 คน ส่วนผู้ที่ไม่อยากกลับ เราคงไปบังคับไม่ได้ แต่บางคนที่ประสงค์อยากจะขายที่ดินให้รัฐเข้าไปรับซื้อนั้น รัฐทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีงบประมาณพอ เมื่อถามว่า ถ้ากลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้วจะรับประกัน ความปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ตอบว่า ขณะนี้ทั้ง 58 คน ที่กลับไปก็ยังปลอดภัย เราดูแลอยู่ คำว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะรับ ประกันได้ว่าท่านจะมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 130 คนไทยที่อพยพไปอยู่มาเลเซียนั้น ก็อยู่ที่ความสมัครใจเช่นเดียวกัน เราไม่เคยไปบังคับ ใครที่จะไปอยู่ ที่ไหน นอกหรือในแผ่นดินไทย เราคนไทย เราเปิดเสรีอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่ ศอ.บต.จะเริ่มทำงานในวันที่ 1 ม.ค. และมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานว่าจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาไฟใต้ได้ผลจริงหรือไม่นั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า เราจะไม่วางภาระทั้งหมดไปที่ศอ.บต. เพราะ ศอ.บต.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบริหารงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายพลเรือน ส่วนตำรวจกับทหารจะไปอยู่ที่ พตท.43 แต่เดิมประชาชนไม่มีองค์กรที่จะ เข้าไปมีส่วนร่วมในการระบายปัญหาชี้แจงให้กับข้าราชการของรัฐรับทราบ แต่ ศอ.บต.จะเป็นหน้าต่าง เป็นช่องให้มีการพบปะพูดคุยหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ส่วนจะได้ผลอย่างไรคงไม่ใช่เรื่องของ ศอ.บต.อย่างเดียว คงเป็นอีกหลายๆส่วนที่ต้องค่อยปรับแก้ในวิธีการปฏิบัติกันต่อไป เพราะสถานการณ์ไม่ได้หยุดนิ่ง มีอีกฝ่ายที่ทำให้เราต้องปรับแก้อยู่ตลอดเวลา เหมือนการเล่นกีฬาถ้าเราไม่แก้ไขก็จะตกอยู่ในฐานะลำบาก เราอาจจะแพ้ ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และไม่ใช่เรื่องเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นเรื่องที่ 76 จังหวัดของไทยจะต้องมีส่วนร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าว

"สนธิเดินทางไปพบ นศ.ไทยในซาอุฯ"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. พร้อมคณะ มีกำหนดเดินทางไปประเทศซาอุดีอาระเบีย ในวันที่ 28 ธ.ค. เพื่อเข้าร่วมพิธีแสวงบุญ หรือพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ โดย พล.อ.สนธิ มีวาระในการเข้าพบหารือกับนายเอ็คเมล เร็ดบิน อีซาน-โนกูล เลขาธิการองค์การอิสลามโลก หรือโอไอซี ในวันที่ 30 ธ.ค. ที่สำนักงานใหญ่โอไอซี เมืองเกจด้า ประเทศซาอุดีอาระเบีย คาดว่าจะเป็นการชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสันติวิธีของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงการดำเนิน งานของกองทัพในฐานะ ผบ.ทบ. ที่ใช้การเมืองนำการทหาร

ทั้งนี้ พล.อ.สนธิพร้อมคณะจะใช้เวลาในการร่วมพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ ก่อนจะเดินทางไปพบปะนักเรียนไทยนับถือศาสนาอิสลามที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในประเทศอียิปต์ด้วย เพื่อพูดคุย ทำความเข้าใจ พร้อมรับฟังทัศนคติต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดย พล.อ.สนธิพร้อมคณะจะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ในวันที่ 7 ม.ค.นี้





เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์