บึ้มป่วนเมือง3จุด ระลอกล่าสุดสนามม้านางเลิ้ง เสียหายเล็กน้อย


บึ้มป่วนเมือง3จุด ระลอกล่าสุดสนามม้านางเลิ้ง เสียหายเล็กน้อย ใช้ปุ๋ยยูเรียผสมดีเซลหัวน็อตใส่ถังแก๊ส

บึ้มประตูสนามม้านางเลิ้งเสียหายเล็กน้อยใช้ปุ๋ยยูเรียผสมดีเซลหัวน็อตใส่ถังแก๊ส

เมื่อ เวลา 00.40 น. วันที่ 26 กันยายนได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณประตูทางเข้าสนามม้านางเลิ้ง ถนนพิษณุโลก แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กทม.แรงระเบิดทำให้กำแพงสนามม้าที่เป็นปูนแตกกระจาย และสะพานลอยมีรอยถูกสเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผู้บังคัญการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยหลังเดินทางไปตรวจสอบเหตุระเบิดใต้สะพานลอยคนข้ามใกล้สนามม้านางเลิ้งว่า คนร้ายนำปุ๋ยยูเรียผสมน้ำมันดีเซลและหัวน็อตบรรจุใส่ถังแก๊สอะลูมิเนียม น้ำหนัก 5-10 ปอนด์ ก่อนจุดชนวนระเบิดด้วยสายไฟฟ้า แต่ตัวจุดระเบิดยังไม่ระบุว่าเป็นนาฬิกาหรือโทรศัพท์ เนื่องจากไม่พบชิ้นส่วนใดตกอยู่ และเพราะระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย


เบื้องต้นได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร ที่อยู่บริเวณสะพานลอยเหนือจุดเกิดเหตุว่าบันทึกภาพของคนร้ายที่นำระเบิดมาวางได้หรือไม่ ส่วนพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามม้านางเลิ้งให้การว่า ได้ยินเสียงระเบิดจึงออกมาดู แต่ก็ไม่เห็นคนร้ายแล้ว

ป่วนเมืองวางบึ้มรถ น.ศ.ศิลปากร

เหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังเกิดอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นพื้นที่ประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในวันที่ 24 กันยายน เกิดเหตุระเบิดถึง 2 ครั้งโดย เวลา 17.00 น. เกิดเหตุในซอยชุมชนจตุรมิตร ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ มีผู้บาดเจ็บ 3 คน ต่อมาเวลา 23.30 น. เกิดเหตุระเบิดภายในซอยชักพระ 16 แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.  ทาง พ.ต.ท.(หญิง)วิสาสิริ เกียรติวิลัย พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ตลิ่งชัน รับแจ้ง รุดไปพร้อม พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ

  

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบริษัท ซากาน่า จำกัด ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ห่างจากปากซอยประมาณ 30 เมตร พบรถเก๋งยี่ห้อเชฟโรเลต ออปตร้า สีขาว ทะเบียน ป้ายแดง ศ-7930 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ริมทางเท้า ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย กันชนท้ายหลุด ฝาครอบไฟท้ายแตก กระจกหลังด้านขวาร้าว และแรงระเบิดทำให้ฝ้าเพดานของอาคารพาณิชย์ร่วงหล่นลงมากองกับพื้น และพบรถตู้โดยสาร ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน 14-5418 กรุงเทพมหานคร วิ่งระหว่าง กทม.-พัทยา กระจกหลังร้าวทั้งบาน

ตร.มุ่งปมขัดแย้งส่วนตัว    

สอบสวนนายวรกร เทพาสิตธนา อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เจ้าของรถ ให้การว่า เมื่อเวลา 21.00 น. ขับรถออกมาจากย่านถนนแจ้งวัฒนะ มีเพื่อนนั่งมาด้วยกัน 5 คน เพื่อมาส่งเพื่อนที่สวีทโฮมอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงได้จอดรถไว้ ก่อนขึ้นไปติวหนังสือกับเพื่อนบนห้องพัก ต่อมาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จึงลงมาดูพบว่ารถถูกระเบิดได้รับความเสียหาย สำหรับสาเหตุการลอบวางระเบิดตนไม่ทราบว่ามาจากเรื่องอะไร เพราะไม่เคยมีความขัดแย้งหรือมีความบาดหมางกับใคร

ด้าน พล.ต.ต.สุเมธกล่าวว่า ตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ใช้น็อตและตะปูเป็นส่วนประกอบ คนร้ายนำมาวางไว้ใกล้กับล้อหลังด้านขวาชิดกับทางเท้า ส่วนวิธีการจุดชนวนยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ ทั้งนี้ จุดเกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดของ บริษัท ซากาน่า จำกัด แต่เจ้าของนำถุงพลาสติคมาคลุมทับไว้ เพราะเกรงจะเปียกฝน แต่อาจจะคลุมไว้นานเกินไปทำให้กล้องเสีย อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณปากซอย
 

" สาเหตุมุ่งไปที่ปมขัดแย้งส่วนตัวของเจ้าของรถเก๋ง ซึ่งพฤติการณ์คนร้ายน่าจะมีเจตนาข่มขู่ไม่ได้มุ่งหวังเอาชีวิต ซึ่งได้เชิญเจ้าของรถไปสอบปากคำเพื่อหาเบาะแสของคนร้ายต่อไป" พล.ต.ต.สุเมธกล่าว

ภาณุพงศ์ เผยพบคนต้องสงสัย2จุดแล้ว

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 กันยายน ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) พร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมตำรวจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง พ.ต.อ.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผกก.สน.ตลิ่งชัน และ พ.ต.อ.กสิณ ศรีธรรมาสุข ผกก.สน.บางโพงพาง ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น 2 จุด
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวก่อนประชุมว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ให้ตนมานัดประชุมในส่วนของ บช.น.เพราะว่าช่วงนี้ใกล้ถึงวันที่ 1 ตุลาคม โดยให้มาปรับแผนในส่วนของการจัดกำลังด้านการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุในช่วงรอยต่อระหว่างการสับเปลี่ยนหมุนเวียนข้าราชการตำรวจประจำปี 2553

 " ส่วนกรณีเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทั้ง 2 จุด จากการที่ได้รับรายงานเชื่อว่ามาจากสาเหตุส่วนตัวเป็นสำคัญ แต่ก็ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ทิ้ง สำหรับเหตุที่เกิดขึ้นทั้ง 2 จุดแม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงทรัพย์เสียหายเช่นกัน ในช่วงหลังมักมีการก่อเหตุโดยใช้ระเบิดเกิดขึ้นบ่อยจึงเป็นหน้าที่ของตำรวจในการป้องกันเหตุทุกวิถีทาง เบื้องต้นเหตุระเบิดทั้ง 2 จุดจากการสอบพยานแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตัวละครในคดีที่เกิดขึ้นแล้ว แต่จะสืบสวนว่าเหตุทั่ง 2 จุด มีความเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ " พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถาม ทั้ง 2 คดีที่เกิดขึ้นสามารถออกภาพสเก๊ตช์คนร้ายได้หรือยัง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวว่า มีบุคคลต้องสงสัยแต่ต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนพยานก่อนว่าใช่หรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป

ผกก.ตลิ่งชัน มุ่ง3ปมบึ้มรถ

ด้าน พ.ต.อ.พงษ์อานันต์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้เรียกเจ้าของรถยนต์มาสอบปากคำอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งให้การว่าไม่เคยมีปัญหากับใคร ซึ่งปกติจะเดินทางมาส่งเพื่อนที่พักอาศัยยังอพาร์ตเมนต์ในซอยที่เกิดเหตุเป็นประจำ เนื่องจากเพื่อนมาพักอาศัยได้ประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ เมื่อขึ้นไปบนห้องพักก็มักซ้อมดนตรีเพื่อเตรียมสอบ ซึ่งเป็นการซ้อมไล่เสียงตัวโน้ตเพียงเล็กน้อย อาจมีเสียงดังบ้าง แต่ไม่ถึงกับมีปัญหากับใคร ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอเจ้าของบริษัทมาสอบปากคำ

 " ส่วนตรวจสอบกล้องวงจรปิดของบริษัทดังกล่าว พบว่ากล้องเพิ่งติดตั้งไว้ไม่นาน เพียงแต่เจ้าของตึกเกรงว่ากล้องจะได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำ จึงนำเอาถุงพลาสติคมาคลุมไว้ ซึ่งเมื่อปล่อยไว้นาน ถุงพลาสติคโดนความร้อน จึงเกิดการละลายหดตัว และทำให้กล้องมองภาพได้รับความเสียหายไปด้วย อีกทั้งเมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณร้านขายยาหน้าปากซอยดังกล่าวพบว่า ไม่สามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้แต่อย่างใด "  พ.ต.อ.พงษ์อานันต์กล่าว และว่า เชื่อว่าคนร้ายไม่น่าจะลงมือเพื่อประสงค์ชีวิต เพราะจากการตรวจสอบของหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดพบว่า เป็นการนำเอาประทัดยักษ์มาพันหัวน็อตและตะปูด้วยผ้าเทปกาว เพื่อเพิ่มแรงดัน ก่อนจะจุดสายชนวนจนเกิดการระเบิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งปมไว้ 3 ประเด็น คือ ความขัดแย้งของเจ้าของรถ ขัดแย้งธุรกิจของเจ้าของบ้าน และสร้างสถานการณ์

 ผบ.ตร. ตื่นบึ้มสั่งตรึงจุดเสี่ยง-หาข่าว

พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ รองผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยถึงมาตรการป้องกันว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มีความห่วงใยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมีวิทยุด่วนสั่งกำชับตำรวจทั่วประเทศ เฝ้าระวังในจุดสำคัญ จุดล่อแหลม พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุอย่างเข้มงวด โดยให้ตำรวจในพื้นที่ตรวจตราอย่างละเอียด รวมทั้งการสืบสวนหาข่าว จัดมาตรการจุดตรวจจุดสกัด
สำหรับเหตุระเบิดในห้วงเวลาที่ผ่านมา โฆษก ตร.กล่าวว่า ตรวจสอบพบว่า เป้าหมายของการก่อเหตุมีทั้งที่เป็นเป้าหมายทางการเมือง ความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว และเป็นการสร้างสถานการณ์ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า บางเหตุการณ์เป็นพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจได้จัดมาตรการเฝ้าระวังและตรวจตราอยู่ตลอดเวลา  
 

สุเทพ สั่งเฝ้ากลุ่มเคลื่อนไหว


 ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ถึงเหตุระเบิดที่ปากซอยชุมชนจตุรมิตร ถนนพระราม 3 ว่า ได้รับรายงานตั้งแต่ค่ำวันที่ 24 กันยายน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องโกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัว ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวการเมือง แต่ได้สั่งการ พล.ต.อ.วิเชียร แล้วว่าต้องกวดขันโรงพักต่างๆ เรื่องการตั้งด่านตรวจ และจะปล่อยให้คนเที่ยวพกพาอาวุธไปวางระเบิดอยู่อย่างนี้ไม่ได้ แต่ด้านหนึ่งต้องเห็นใจ ผบ.ตร. ที่เข้ามารับหน้าที่ในช่วงนี้ แต่ ผบ.ตร.ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่เพียงพอที่จะดูแลสถานการณ์ได้ แต่ถ้าสถานการณ์ทำให้ประชาชนเกิดความไม่สบายใจและต้องการเจ้าหน้าที่เพิ่ม รัฐบาลได้ให้กำลังเจ้าหน้าที่จากกองทัพภาคที่ 1 เตรียมพร้อมอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีวางระเบิดรถยนต์ของนักศึกษาที่ย่านตลิ่งชัน นายสุเทพกล่าวว่า ยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดจึงตอบไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นการผสมโรงกับการเมืองหรือไม่ แต่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่รีบสอบสวน เพื่อจะอธิบายกับประชาชนว่าแต่ละเหตุการณ์มีที่มาที่ไปและข้อเท็จจริงอย่างไร เมื่อถามว่า จะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีข่าวจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสุเทพกล่าวว่า อย่านำไปโยงกันอย่างนั้น เพราะถ้าโยงไปอย่างนั้นจะให้คนเข้าใจไขว้เขว แต่ยืนยันว่ากรณีที่มีคนตั้งใจจะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายความไม่สงบในบ้านเมือง เราต้องคอยระวังป้องกัน และหากมีคนผสมโรง เพราะไม่ชอบพอกันเป็นการส่วนตัวอยู่บ้างนั้นต้องแยกแยะออกจากกันให้ได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจับตากลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ทุกวัน และได้กวดขันเจ้าหน้าที่งานด้านการข่าวให้ดูแลให้ดี แม้จะไม่ง่าย

ลั่นไม่เลิก"ฉุกเฉิน"ตามกระแส

 "เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานี ทุกโรงพักต้องจัดระบบสายตรวจเคลื่อนที่ให้มากขึ้น ด่านตรวจทั้งหลายต้องเข้มงวดมากขึ้น อย่าให้คนร้ายไปไหนมาไหน หรือพกพาอาวุธได้สะดวก ลดโอกาสที่คนร้ายจะก่อเหตุในพื้นที่ให้มากที่สุด ซึ่งตำรวจเข้าใจอยู่แล้ว ผมพยายามให้ตำรวจทำงานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น " นายสุเทพกล่าว

เมื่อถามว่า มีเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจจะทำให้การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ กทม.ลำบากหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เคยพูดว่าจะรีบยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเขต กทม. แต่การจะคง พ.ร.ก.หรือยกเลิกนั้นต้องดูสถานการณ์ให้ดี อย่าทำไปตามอารมณ์ ตามกระแส โดยไม่คิดถึงผลเสียหายแก่บ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ ความสงบสุขของประชาชน เราอย่าทำอย่างนั้น

ด้าน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยจะเสนอให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น นครราชสีมา และอุดรธานี ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯนั้นเห็นว่ายังมีความไม่ปลอดภัย มีการลอบวางระเบิดตลอด โดยส่วนตัวจึงเห็นว่าจำเป็นต้องคงเอาไว้ก่อน

 โฆษกศอฉ.เชื่อบึ้มไม่เอี่ยวการเมือง

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวถึงกรณีคำสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีที่ระบุ สัปดาห์หน้าจะพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ยังเหลือ 7 จังหวัด ว่า ในที่ประชุม ศอฉ.ยังไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณายกเลิกจังหวัดใดบ้าง ซึ่งในที่ประชุม ศอฉ.เมื่อวันที่ 24 กันยายนไม่ได้หารือในเรื่องการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพียงแต่นายสุเทพ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ได้สั่งให้ฝ่ายข่าว มหาดไทย ตำรวจ ทหาร เร่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ ในข้อดีข้อเสียหากจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อส่งเป็นข้อมูลให้รัฐบาลใช้ประกอบการพิจารณาในสัปดาห์นี้

เมื่อถามถึงกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ 2 จุด พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า จากการติดตามของฝ่ายข่าวศูนย์ปฏิบัติการทหารบก ร่วมกับตำรวจ ประเมินว่ากรณีดังกล่าวไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะจุดที่ระเบิดบริเวณนั้นไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ดังนั้นน่าเป็นฝีมือของกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนอง

ปธ.วุฒิฯชี้"ฉุกเฉิน"สกัด บึ้มเหลว

วันเดียวกัน ที่โรงแรมกะตะ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.ภูเก็ต นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ตอนนี้รัฐบาลทยอยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายๆ จังหวัดไปแล้ว แต่มีข้อสังเกตว่า จังหวัดที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเกิดมีระเบิดขึ้น แสดงว่า พ.ร.ก.ไม่สามารถป้องปรามได้ และจะมีหรือไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนที่จะก่อการถ้ามีช่องทางพยายามทำให้วุ่นวายอยู่ดี ฉะนั้น รัฐบาลคงต้องหามาตรการอื่นให้คนคิดก่อการกลัว และไม่ไปก่อความวุ่นวาย เมื่อถามว่า ประธานวุฒิสภาเห็นว่า ควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งหมดได้แล้วหรือยัง นายประสพสุขกล่าวว่า อยากให้ทุกฝ่ายคิดถึงผลประโยชน์ประเทศชาติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่ ไม่ใช่จุดใหญ่ จุดใหญ่คือการปรองดองโดยสุจริตใจ ทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติโดยต้องสุจริตใจด้วย

 ดีเอสไอ หวังสอบเจอคนฆ่า89ศพ

ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงการสอบสวนคดีผู้เสียชีวิต 91 คน จากเหตุการณ์กระชับพื้นที่ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมว่า การลงพื้นที่ตรวจสอบวิถีกระสุนของทีมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและนิติวิทยาศาสตร์ เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการนำผลตรวจสอบมาประมวลร่วมกับผลชันสูตรศพที่ดีเอสไอได้รับมาครบถ้วนแล้ว โดยขั้นตอนต่อจากนี้คือการเร่งสอบปากคำทหารที่ประจำอยู่ทุกจุดที่มีการกระชับพื้นที่ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบพยานที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากพรรคเพื่อไทย และการตรวจสอบภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ต่างๆ ที่ได้รวบรวมไว้ ซึ่งพยานหลักฐานทั้งหมดจะต้องนำมาพิจารณาประกอบกัน

 " ผมมีเป้าหมายให้การสอบสวนสามารถพิสูจน์ไปได้ถึงกลุ่มใดเป็นผู้ทำให้เสียชีวิตด้วย เพราะเชื่อว่าประชาชนคงต้องการให้ข้อสงสัยถึงสาเหตุการเสียชีวิตคลี่คลายให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องนำผลสอบของหลายส่วนมารวมกัน ดังนั้น อาจจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการสอบสวนจากกรอบเวลาเดิม 45 วันออกไป แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเพื่อชี้แจงกับประชาชน " นายธาริตกล่าว

พท.เชื่อบึ้มหวังต่อฉุกเฉิน

ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ถนนพระราม 3 ว่าขอประณามผู้ที่ลงมือสร้างสถานการณ์เช่นนี้ เท่าที่ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นเรื่องส่วนตัว คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยที่เป็นตำรวจและทหารเห็นว่า แม้จะมีโอกาสเป็นไปได้ แต่หากเป็นเรื่องส่วนตัวจริง คนร้ายไม่น่าจะลงทุนประกอบระเบิดที่มีขั้นตอนซับซ้อนและอันตราย และเป็นที่น่าแปลกใจว่าทุกครั้งที่ใกล้จะถึงกำหนดพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพิจารณาในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ มักจะเกิดเหตุระเบิดเช่นนี้ขึ้น ดังนั้น ขอเตือนรัฐบาลว่าหากไม่ต้องการให้เกิดเหตุระเบิดเช่นนี้อีก ก็ต้องยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว ซึ่งเชื่อว่าหากประกาศยกเลิกแล้วจะเกิดความสงบขึ้น แต่สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะรัฐบาลเสพติดอำนาจ

ตู่ ซัด"มาร์ค"เลิก"ฉุกเฉิน" ไม่ช่วยให้ดูดี

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 6 จังหวัด แต่จะยังคงเอาไว้ในพื้นที่ กทม.ว่า หากนายอภิสิทธิ์ยิ่งคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปยาวนานเท่าไรยิ่งเป็นปัญหากับนายอภิสิทธิ์เอง เพราะขณะนี้ประชาชนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการต่อสู้ของประชาชน โดยเฉพาะการรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมาก ในวันที่ 19 กันยายน แต่การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้จะยิ่งดึงเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนั่นจะเป็นปัญหาสำคัญของรัฐบาล และแม้นายอภิสิทธิ์จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 6 จังหวัด แล้วประกาศที่จะคงไว้อีกจังหวัดเดียวคือ กทม. ไม่ได้ช่วยให้นายอภิสิทธิ์ดูดีและมีอายุยืนยาวขึ้น เพราะเมื่อถึงวันนี้ตนมั่นใจว่ารัฐบาลจะต้องไปด้วยกระบวนการของคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว แม้จะมีมือที่มองไม่เห็นพยายามที่จะช่วยอยู่ แต่เชื่อว่ากระแสสังคมและสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับหลายๆ พรรคการเมืองจะเป็นตัวบีบให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถรอดพ้นจากการยุบพรรคครั้งนี้ได้

นายจตุพรกล่าวถึงกรณีที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย เตรียมพิจารณาช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ว่าสำหรับการดำเนินการของศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมนั้นเบื้องต้นจะพิจารณาช่วยเหลือคนเสื้อแดงก่อน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินทุนในการขับเคลื่อนทั้งหมดมาจากการบริจาค ดังนั้น เราต้องดูแลคนของเราก่อน ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบคนอื่นๆ จะไม่ทอดทิ้ง เพราะเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเราจะช่วยเหลือทุกฝ่ายโดยไม่แยกสี โดยเฉพาะผู้เสียชีวิต 91 ศพนั้น นอกจากจะมีคนเสื้อแดงแล้วยังมีทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์รวมอยู่ด้วย

ปูด"วีระ"ส่งซิก" เสธ."สยบ"ตู่"

แหล่งข่าวระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย แจ้งถึงเบื้องหลังกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเดินสายพูดคุยกับแกนนำกลุ่มการเมืองต่างๆ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความปรองดอง ว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากการที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ติดต่อไปยัง พล.ต.สนั่น ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตั้งแต่สมัยที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้พล.ต.สนั่นเดินหน้าแผนปรองดอง โดยชั้นแรกคือ การเข้าเยี่ยมนายณัฐวุฒิ  ใสยเกื้อ และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากนายวีระเชื่อว่า พล.ต.สนั่นจะสามารถช่วยเหลือนายณัฐวุฒิ และแกนนำสายพิราบในเรือนจำออกมาได้ เพื่อคานอำนาจกับนายจตุพรสายฮาร์ดคอร์ ขณะนี้นายจตุพรเป็นแกนนำหลักเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกคุมขัง
 
 " สาเหตุที่นายวีระต้องประสานไปยัง พล.ต.สนั่น เพราะวงแกนนำ นปช.แตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายของนายวีระ และฝ่ายของนายจตุพร ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายนี้มีแนวคิดที่ไม่ตรงกัน นายวีระเลยต้องการให้แกนนำ โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิที่มีแนวคิดขับเคลื่อนทางมวลชนที่ไม่รุนแรงเท่านายจตุพร ออกมาคานอำนาจของนายจตุพรที่เน้นแนวทางฮาร์ดคอร์ " แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับตัว พล.ต.สนั่นนั้น หวังว่าหากตัวเองสามารถผลักดันแนวทางปรองดองได้สำเร็จ จะเป็นที่ยอมรับของคนทุกฝ่ายทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง หากมีรัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้นในอนาคต พล.ต.สนั่นมีสิทธิที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี

 เชื่อต่างชาติเมินที่ปรึกษา"ทักษิณ"

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายโรเบิร์ด อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณไปยื่นข้อมูลให้ผู้นำประเทศต่างๆ ขณะไปร่วมประชุมสหประชาชาติ เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีสลายการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเป็นการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เชื่อว่าผู้นำประเทศต่างๆ ที่ได้เห็นข้อมูลจะไม่ให้ความเชื่อถือ และเห็นว่าข้อร้องเรียนของ พ.ต.ท. ทักษิณที่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกละเมิดสิทธิเป็นการสร้างภาพมากกว่า และไม่ยอมพูดถึงกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐบาลชุดก่อนๆ โดยเฉพาะคดีฆ่าตัดตอน

เสธ.อู้ เชื่อมีใบสั่งแก๊งค้าอาวุธ

ที่โรงแรม กะตะ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.ภูเก็ต พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีที่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยขโมยอาวุธสงครามอาร์พีจีจากคลังแสง จ.ลพบุรี ว่าน่าจะมีการดำเนินการของขบวนการค้าอาวุธ ไม่เกี่ยวกับการก่อความไม่สงบโดยมีเจ้าหน้าที่ในกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะกระสุนอาร์พีจี 39 นัด ได้รับใบสั่งจากขบวนการค้าอาวุธนอกประเทศ เพราะขณะนี้บริเวณแถวตะเข็บชายแดนมีความต้องการใช้อาวุธทั้งของชนกลุ่มน้อยและขบวนการค้ายาเสพติด ดังนั้น ใบสั่งต้องการอาวุธสงครามจะมีอยู่ตลอดเวลา จะเห็นว่าเมื่อตรวจสอบอาวุธเหล่านี้จะพบว่าจะเป็นของกองทัพไทยทั้งสิ้น
 

"ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขบวนการเหล่านี้อาศัยช่องว่างเนื่องจาก เวรยาม การตรวจนับ ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งในช่วงฝึกภาคสนามจะมีการเบิกออกมาแต่ใช้ไม่หมดแล้วมีการลักลอบนำไปขายโดยผู้บังคับบัญชาไม่ทราบ ถือเป็นความเลินเล่อของระบบการบริหาร คนที่ไม่ดีก็มักอาศัยช่องว่าง ดังนั้น จึงอยากให้มีการมาตรการป้องกันให้มีกุญแจหรือประตูสองถึงสามชั้นและให้มีการตรวจสอบอาวุธที่อยู่ในคลังแสงมากขึ้นจากเดิมเพราะหากมีปัญหาก็จะตรวจสอบได้ทันที"  พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว

แดงยันทหารยิงผู้ชุมนุมฝ่ายเดียว

วันเดียวกันที่ศูนย์ประสานงานผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) จัดกิจกรรมเวทีไต่สวนสาธารณะจากกรณีการสลายการชุมนุม 10 เมษายน-19 พฤษภาคม ที่ หอประชุมศรีบุรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตลอดช่วงบ่าย มีกลุ่มคนเสื้อแดงทยอยมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่วนบนเวที ก็เปิดคลิปวิดีโอ เหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารและผู้ชุมนุมเสื้อแดงในจุดสำคัญ โดยเฉพาะสี่แยกคอกวัว และวัดปทุมวนารามวรวิหาร

นายสันติพงษ์ อินจันทร์ ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 19 พฤษภาคม กล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม จะเห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีวิถีกระสุนจากฝ่ายทหารยิงเข้ามาหาผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้รัฐบาลยอมรับความจริง เพราะทุกอย่างมีหลักฐาน เนื่องจากเห็นว่าฝ่ายทหารใช้ความรุนแรงโดยเริ่มจากหนักขึ้นไป ไม่เป็นไปตาม 7 ขั้นตอน ตามที่ ศอฉ.ชี้แจง

ซัดรบ.สั่งศอฉ.จัดการปชช.

นายกลิ่น เทียนยิ้ม ญาติของนายวสันต์ พู่ทอง ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม กล่าวว่า คดีนี้ล่วงเลยมา 5 เดือนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการล่าช้า และไม่เหลียวแลคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย ตนมองว่า ศอฉ. และดีเอสไอสมรู้ร่วมคิดกันเข่นฆ่าประชาชน แต่ยังใส่ร้ายว่ากลุ่มคนเสื้อแดงทำร้ายกันเอง ส่วนตัวจึงเชื่อโดยสนิทใจว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งนี้มาจากรัฐบาลสั่งการให้ ศอฉ.ดำเนินการ ในขณะที่การชันสูตรศพของนายวสันต์ เจ้าหน้าที่รัฐระบุเพียงว่าถูกกระสุนความเร็วสูงทำให้เสียชีวิต แต่ไม่ได้ระบุวิถีกระสุน

ขณะที่นายอุทร ศรีพันธุ์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์เนชั่น ซึ่งอยู่ในเหตุการกล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงและเสื้อเหลืองไม่เหมือนกัน โดยจะเห็นว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่ใช้แก๊สน้ำตาจนมีผู้เสียชีวิต รัฐบาลได้ใช้อำนาจเด็ดขาดในการสั่งปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะที่การสลายชุมนุมเสื้อแดง ยังไม่เห็นมีการดำเนินการใดๆ กับผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)

นายนิค โนสพีทส์ นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ปะทะของเจ้าหน้าที่ทหารกับผู้ชุมนุม ตนเห็นกระสุนยิงมาจากฝั่งทหาร ไม่ใช่กระสุนยางและคาดว่าผู้ชุมนุมบางส่วนที่เสียชีวิต น่าจะมาจากฝั่งของทหาร
   


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์