ประหารรปภ.โหด ฆ่าเมียญี่ปุ่นชิงทรัพย์

"ฆ่าชิงทรัพย์ให้การรับสารภาพ"


ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ วันที่ 25 ต.ค. ศาลมีคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายกฤษฎา หรือตั้ม คำแก้ว อายุ 28 ปี อาชีพรับจ้าง เป็นจำเลยฐานชิงทรัพย์ และฆ่าเจ้าทรัพย์เพื่อปกปิดความผิดของตน จำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์นำพยานสืบประกอบคำรับสารภาพ จำเลยถูกขังไว้ตลอดการพิจารณา

คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ.49 จำเลยชิงทรัพย์ น.ส.นิตยา วระพันธ์ โดยใช้มีดคัตเตอร์ขู่เข็ญ แล้วมัด น.ส.นิตยาก่อนจับโยนจากชั้นที่ 27 อาคารชุดวอเตอร์ฟอร์ดคอนโดมิเนียม ซอยทองหล่อ 9 ถนนสุขุมวิท ย่านทองหล่อ กทม. จนกระแทกกับพื้นถึงแก่ความตายแล้วนำทรัพย์สินหลบหนีไป

"ตร.ไม่เชื่อฆ่าตัวตาย"


โจทก์มีพยานเบิกความว่าวันที่ 18 ก.พ.49 เวลา 11.00 น. มีผู้พบศพ น.ส.นิตยา วระพันธ์ อายุ 37 ปี นอนตายอยู่ที่กันสาดชั้น 6 ของอาคาร สภาพศพแหลกเหลว ร่างผู้ตายกระแทกกับตอไม้เสียบทะลุกลางลำตัว ไส้ทะลัก ศีรษะแหลกเหลว แขนขาหักพับงอได้ ทรัพย์สินในตัวมีเพียงต่างหูกับแหวนทองคำ ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า น.ส.นิตยาฆ่าตัวตาย ต่อมาได้มี น.ส.มณีรัตน์ จำอวด เพื่อนผู้ตายมาดูศพพบว่าผู้ตายเป็นคนชอบแต่งกายสวมเครื่องประดับมากมาย

แต่ที่ศพกลับไม่มีทรัพย์สินติดตัว ก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ก.พ. 2549 เวลา 03.00 น. ตนกับเพื่อนได้พาผู้ตายซึ่งทำงานเป็นพีอาร์อยู่ที่บาร์ญี่ปุ่นชื่ออีเมะใน รร.อลิสตัล ซอยสุขุมวิท 24 ผู้ตายมีสามีเป็นชาวญี่ปุ่นชื่อนายฮิเดโอะ ซูซูกิ ซื้อคอนโดเลขที่ 100/107 เป็นที่พักอาศัย โดยหลังจากเลิกงานได้พาไปดื่มกินแล้วได้นั่งรถแท็กซี่ไปส่งผู้ตายแล้วไม่พบกันอีก ตำรวจสืบสวนแล้วไม่เชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย จึงไปตรวจห้องผู้ตายที่ชั้น 15 และชั้น 27

"หายตัวไปส่อพิรุธ"


ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่คนร้ายโยนศพผู้ตายลงมา จนสรุปประเด็นได้ว่าพนักงานของอาคารคนหนึ่งได้หายตัวไป คือนายกฤษฎา หรือตั้ม คำแก้ว จำเลยในคดีนี้ ตำรวจพบว่าจำเลยไม่มาทำงาน 3 วัน แต่ฝากเพื่อนตอกบัตร ตำรวจจึงดูภาพจากทีวีวงจรปิดประกอบกับมีหลักฐานส่อพิรุธ ตำรวจจึงได้เดินทางไปยัง จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง

พบว่าจำเลยมีโทรศัพท์มือถือของผู้ตายไว้ในครอบครองแล้วนำไปขายโดยเปลี่ยนซิมการ์ดที่ จ.ระยอง จึงติดตามไปที่บ้านภรรยาของจำเลยที่ จ.อุดรธานี พบแหวนทองเค ซ่อนอยู่ในตู้และดักจับกุมจำเลยได้ที่บ้านหลังดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพว่า เห็นผู้ตายกลับบ้านดึกทุกวัน

"ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต"


จึงลงมือชิงทรัพย์ได้เครื่องประดับเต็มตัว ทั้งสร้อยข้อมือทองคำ สร้อยคอทองคำ และเงินสด 1 หมื่นบาท รวมมูลค่า 43,538 บาท จากนั้นมัดผู้ตายไว้กับราวบันได แต่เห็นผู้ตายยังไม่หมดสติ จึงแก้มัดและใช้เนกไทรัดคอจนหมดสติและจับอุ้มข้ามกำแพงโยนลงมาจากอาคาร

ศาลพิเคราะห์ว่าแม้คดีไม่มีประจักษ์พยาน แต่โจทก์มีพยานแวดล้อม โดยตำรวจได้พบทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ตายที่ห้องเก็บขยะแทนที่จะอยู่ในห้องของผู้ตาย จากนั้นมีการตรวจสอบพบว่ามีจำเลยเพียงคนเดียวที่หายตัวไปหลังเกิดเหตุ ตำรวจยังติดตามยึดแหวนและทรัพย์สินมีค่าบ้างส่วนได้จากจำเลย จึงเชื่อได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดในคดีนี้ พิพากษาลงโทษประหารชีวิต รับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกตลอดชีวิต


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์