นศ.หอการค้าฯดิ่งคอนโดดับ

"บ่นก่อนตาย เครียด"


แม่-พี่สาวร่ำไห้รับศพ นศ.หอการค้า ดิ่งคอนโดดับ พี่สาวเชื่อน้องน่าจะมีปัญหาอื่นด้วยนอกจากเรื่องเรียน ก่อนจบชีวิตบ่นเครียด

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 กันยายน ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ นางอารีย์ เหล่าไพโรจน์จารี (อุปละ) อายุ 53 ปี น.ส.หทัย เหล่าไพโรจน์จารี อายุ 31 ปี มารดาและพี่สาวของ น.ส.อรวรรณ เหล่าไพโรจน์จารี หรือน้องบี อายุ 26 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ก่อเหตุกระโดดจากห้องพักเลขที่ 67/49 ชั้น 7 อาคารธนาเพลส คอนโดมิเนียมเสียชีวิต พร้อมญาติ เดินทางมารับศพด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เพื่อนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบึงทองหลาง ย่านลาดพร้าว


"พบบุตรสาว ตายคาที่"


ทั้งนี้เกิดเหตุเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 5 กัยยายน นางอารีย์ ให้การกับ ร.ต.ท.พิศิษฐ์ บุญมีสุข ร้อยเวร สน.โชคชัยว่า ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมด้วย น.ส.หทัย บุตรสาวคนโต นอนอยู่ภายในห้องขณะหลับก็ได้ยินเสียงมีคนเคาะประตู เมื่อเปิดประตูก็พบ รปภ.สอบถามว่า มีใครกระโดดลงไปจากห้องหรือเปล่า จึงเดินไปดูที่เตียง พบว่าบุตรสาวคนเล็กหายไป จึงแจ้ง รปภ.ว่าบุตรสาวหายไป ตกใจมากจึงชวนลูกสาวคนโตวิ่งลงไปดูก็พบลูกตายคาที่

"หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกสาวมีอาการคิดมาก เกี่ยวกับเรื่องเรียน มักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่าตัวเขาเป็นภาระ เรียนไม่จบสักที ประกอบกับเรื่องความรักไม่ค่อยจะราบรื่นนักก็อาจทำให้คิดมาก" นางอารีย์ กล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน น.ส.หทัย กล่าวว่า ตนพักอยู่ห้องดังกล่าว 2 คนกับน้องสาว มีความสนิทสนมกันมาก เพราะมีพี่น้อง 2 คน และอาศัยด้วยกันมาตั้งแต่เด็กไม่เคยแยกจากกัน โดยปกติน้องบีจะเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง คุยเก่ง แต่จะเป็นคนขวัญอ่อน จิตใจอ่อนไหวง่าย ขี้กลัว ที่ผ่านมาน้องบีไม่ได้มีปัญหาอะไร มีเพียงเรื่องเรียนที่น้องบีเรียนจบช้า เพราะยังเรียนไม่ผ่านบางวิชา


"อยากช่วยเหลือครอบครัว"


"น้องบีจะชอบพูดตัดพ้อว่าอยากเรียนจบจะได้ทำงานช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ไม่อยากให้เป็นภาระของฉันและทางบ้าน ส่วนปัญหาอื่นรวมถึงเรื่องแฟนไม่ทราบ เพราะน้องไม่เล่าอะไรให้ฟัง แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องเรียนเรื่องเดียวต้องมีอะไรมากกว่านั้น" น.ส.หทัย กล่าวและว่า

ทั้งนี้ตนกับน้องบีจะเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพร้อมกันตอนเช้า เพราะตนทำงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และได้เรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ช่วงนี้ตนจะเดินทางกลับจากที่ทำงานดึก เนื่องจากต้องทำงานและเรียนหนังสือไปด้วย ทำให้ต้องทิ้งให้น้องบีอยู่ที่คอนโดคนเดียว แต่ถึงอย่างไรตนก็จะกลับมานอนที่คอนโดทุกวัน ซึ่งช่วงนี้น้องบีไม่ค่อยมาปรึกษาปัญหาต่างๆ มากนัก เพราะเกรงใจตนที่เหนื่อยจากการทำงาน จึงไม่อยากจะเอาปัญหามาเล่าให้ตนฟัง


"เครียดจัด พูดจาไม่รู้เรื่อง เหม่อลอย ตาลอย"


น.ส.หทัย กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ ตนสังเกตได้ว่าน้องบีมีอาการซึมเศร้าผิดปกติ แต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนคนเครียดทั่วไป เมื่อตนถามว่าน้องบีมีปัญหาอะไรก็ไม่ยอมบอก โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา น้องบียังเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปกติพร้อมกับตน และไม่มีอาการเครียด จนกระทั่งวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน น้องบีเริ่มมีอาการเครียด ซึมเศร้ามาก เหม่อลอยและไม่พูดคุยกับใคร

น.ส.หทัย กล่าวต่อว่า ตอนนั้นรู้ว่าน้องบีมีอาการหนักมากๆ ทำอย่างไรก็ไม่หาย จนบางครั้งคิดว่าน้องบีจะโดนของจนต้องให้แม่ซึ่งอยู่บ้านที่ลาดพร้าว ซอย 101 มาอยู่ด้วย วันนั้นทั้งแม่และตนต้องปลอบน้องบีทั้งวัน แต่อาการไม่ดีขึ้น พูดแต่ว่าหนูขอโทษแม่ขอโทษพี่ แต่ก็ไม่เล่าว่ามีปัญหาอะไร บางครั้งเหมือนจะเล่าแต่ก็หยุดไม่เล่าต่อ ตนรู้ว่าน้องบีคงจะดีขึ้นยาก จึงลางานในวันจันทร์ที่ 4 กันยายน เพื่ออยู่กับน้อง ซึ่งอาการน้องในวันจันทร์หนักมากพูดจาไม่รู้เรื่อง เหม่อลอย ตาลอย แม่กับตนปลอบกันอยู่ทั้งวัน


"เป็นคนขี้กลัว ไม่น่าคิดสั้น โดดตึก"


เมื่อรู้ว่าน้องไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจนัดจิตแพทย์ เพื่อจะพาน้องไปหาจิตแพทย์ในวันนี้ แต่น้องได้มาเสียชีวิตก่อน คืนเกิดเหตุนอนอยู่ด้วยกัน 3 คนแม่ลูก โดยแม่ได้นอนกอดน้องบีอยู่ตลอด ฉันก็นอนอยู่ข้างๆ และดูอยู่ตลอด จนฉันเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมี รปภ.ของคอนโดมาเคาะห้องและถามว่ามีคนตกตึก ใช่คนที่อาศัยอยู่ที่ห้องนี้หรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นฉันได้มองหาน้องบี แต่น้องบีไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว ใจหนึ่งคิดว่าไม่ใช่น้องบีที่จะกล้ากระโดดตึกเพราะเขาขี้กลัว แค่ไปยืนที่ระเบียงเขายังไม่ค่อยกล้าเลย ไม่คิดว่าเขาจะคิดสั้น จนได้ลงไปดูศพและพบว่าได้เป็นศพของน้องบี น.ส.หทัย กล่าว



แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์