ศาลสั่งประหารเสี่ยโอฬารยาบ้า

"ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต"


ศาลอาญาตัดสินประหาร "เสี่ยโอฬาร" เจ้าของสวนส้มในจ.เชียงรายค้ายาบ้ากว่าล้านเม็ด แต่ให้การเป็นประโยชน์รับสารภาพศาลปรานี ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วน 2 แม่ลูกคนเฝ้าบ้านนำสืบพยานอ้างไม่รู้ไม่เห็นกับการค้ายาบ้า เป็นแค่เพียงคนเฝ้าบ้านให้"เสี่ยโอฬาร"เท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานสาวถึงให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างรออุทธรณ์

ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ศาลมีคำพิพากษาในคดียาเสพติดที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางอรนุช หรือติ๋ม ธีราทรง อายุ 49 ปี น.ส.วราภรณ์ หรือเอ๋ ธีราทรง อายุ 31 ปี สองแม่ลูกและนายเอนก หรือโอฬาร สุดิรัตน์ อายุ 49 ปี เสี่ยเจ้าของสวนส้มในจ.เชียงราย เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ก.พ.48


"ยาบ้า 1,350,000 เม็ด"


โดยคำบรรยายฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-7ธ.ค.47 จำเลยทั้งสามกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมียาบ้าจำนวน 1,350,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กระทั่งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.47 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ต.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี จับกุมจำเลยที่ 1 และ 2 ได้พร้อมยาบ้าของกลาง 50,000 เม็ด และสอบสวนขยายผลจับกุมจำเลยที่ 3 ได้เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.47 พร้อมของกลางยาบ้าอีก 1,300,000 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในถังน้ำแข็ง 3 ใบ เหตุเกิดที่ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี และเขตประเวศ กรุงเทพฯ ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน

โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธตลอด จำเลยที่ 1 และ 2 นำสืบต่อสู้คดีทำนองว่า เป็นเพียงผู้ดูแลคอยทำความสะอาดบ้านให้จำเลยที่ 3 เท่านั้น ไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน เพียงแต่เคยช่วยนับเงินให้จำเลยที่ 3 อย่างไรก็ตาม ก็เคยเห็นจำเลยที่ 3 ถือถุงใส่ของมีตราห้างสรรพสินค้าซึ่งไม่ทราบว่าในถุงเป็นสิ่งของอะไรนำมาเก็บไว้ในบ้าน ส่วนถังน้ำแข็งที่ซุกซ่อนยาบ้านั้นก็ไม่เคยไปตรวจดู จึงไม่รู้ว่ามียาบ้าซ่อนอยู่ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยตลอด ไม่ต่อสู้คดี


"เคยให้การซัดทอดเป็นคดีใหญ่"


ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบเชื่อมโยงว่าจำเลยที่ 1 และ 2 มีพฤติการณ์ผู้ค้ายาบ้าแต่อย่างใด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และ 2 พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 รับสารภาพตลอดข้อหา เชื่อว่ากระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาให้ประหารชีวิต คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้ตลอดชีวิต และริบของกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีเสี่ยโอฬารนี้ เป็นข่าวครึกโครมเมื่อปี 2547 เนื่องจากนายโอฬารเคยซัดทอดว่ามีเจ้าหน้าที่ปกครองและพนักงานอัยการให้ความช่วยเหลือในการสั่งไม่ฟ้องคดีฟอกเงิน ที่ได้จากการค้ายาเสพติด จนเป็นเหตุให้สำนักงานอัยการสูงสุดตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบข้อเท็จจริง ร.ท.ณรงค์ศักดิ์ ลิ้มวงษ์ทอง อดีตอัยการจังหวัดเชียงราย และนายพลทัต สุราฤทธิ์ อดีตรองอัยการจังหวัดเชียงราย แต่ในที่สุดผลสอบสวนสรุปว่าบุคคลทั้งสองไม่มีความผิด

เพราะอัยการทั้งสองใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับผลประโยชน์ตอบแทนหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่สุจริตแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการทั้งสองปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ.2521 ม.44, 47 และ 49 จึงเป็นอันยุติ โดยคณะกรรมการให้ว่ากล่าวตักเตือนร.ท.ณรงศักดิ์ และ นายพลทัต ให้ใช้ความรอบคอบในการพิจารณาสั่งคดีให้มากขึ้น



แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์