แจ้งจับ ชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายชาติ

แจ้งจับ ชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายชาติ

นายวีระ สมความคิดนายวีระ สมความคิด

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 3 มีนาคม 2549 13:43 น.

ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน แจ้งกองปราบ ดำเนินคดี พานทองแท้ ชินวัตร - พิณทองทา ชินวัตร - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - บรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ บุษบา ดามาพงศ์ ฐานกระทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสารใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ กรณีขาย ชินคอร์ป ให้เทมาเส็ก

วันนี้ (3 มี.ค.) ที่กองปราบปราม นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สิงห์ สิงห์เดช พนักงานสอบสวน กองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายพานทองแท้ ชินวัตร , น.ส.พิณทองทา ชินวัตร , น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร , นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ นางบุษบา ดามาพงศ์ ในความผิดฐานกระทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสารใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ

โดย นายวีระ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ กับพวกรวม 5 คน ให้ข้อหาดังกล่าว หลังจากที่ได้ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป จำนวนรวมกันเกือบ 50% ไปให้ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้บริษัท เทมาเส็ก เข้ามามีอำนาจควบคุมบริหารกิจการบริษัท ชินคอร์ป และทำให้สามารถล่วงรู้ความลับทางด้านโทรคมนาคมอันเป็นความลับ และความปลอดภัยของชาติ ทั้งนี้ตนได้นำหลักฐานต่างๆ ที่ตนเองสรุป รวมไปถึงสมุดปกขาว ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาทนายความ ที่รายงานข้อเท็จการขายหุ้นครั้งนี้มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย

โดยในบันทึกสรุปของ นายวีระ มีใจความสำคัญดังนี้ การเข้ามาซื้อหุ้นครั้งนี้ของบริษัท เทมาเส็ก มีการเตรียมการและวางแผนมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องได้รับความร่วมมือ รู้เห็นเป็นใจจากผู้ที่มีอำนาจในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น มีการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.กิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 แก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นกิจการโทรคมนาคมของคนต่างด้าว จากไม่เกิน 25% เพิ่มเป็น 50% และมีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวทันทีหลังจากกฎหมายที่แก้ไขแล้วมีผลบังคับใช้เพียง 2 วัน

สำหรับบริษัท เทมาเส็ก ได้ตระเตรียมขั้นตอนต่างๆ อย่างแยบยล ก่อนเข้ามาเทกโอเวอร์ชินคอร์ป โดยเริ่มจากขั้นที่ 1 เทมาเส็ก ได้จัดตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว ซึ่งเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยขึ้นมาก่อน โดยบุคคลสัญชาติไทย ถือหุ้น 51% และให้ บริษัท Cypress Holding ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ถือหุ้น 4,900 หุ้น หรือ 49% แต่ทั้งนี้ หุ้นที่บุคคลสัญชาติไทยถือ 51% นั้น เป็นหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมด มีสิทธิออกเสียงได้ 10 หุ้นต่อ 1 เสียง ต่างจาก บริษัท Cypress Holding ที่ถือหุ้น 49% ซึ่งเป็นหุ้นสามัญ มีสิทธิออกเสียงได้ 1 หุ้น ต่อ 1 เสียง เท่ากับว่า 4,900 เสียงสิงคโปร์ ต่อ 510 เสียงไทย กุหลาบแก้ว จึงเป็นนิติบุคคล สัญชาติไทย แต่เสียงในการควบคุมบริษัทอยู่กับฝ่ายสิงคโปร์ทั้งหมด

ขั้นที่สอง เมื่อตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องจัดตั้งอีกแห่งเพื่อดึงพันธมิตรอื่นเข้ามาร่วม โดยนิติบุคคลแห่งที่ 2 คือ บริษัท Cedar Holding ซึ่งสิงคโปร์ต้องการมีอำนาจควบคุมบริษัทแห่งนี้แบบเบ็ดเสร็จ เพราะจะเป็นบริษัทที่เข้าไปซื้อหุ้นชินคอร์ปโดยตรง จึงให้ Cypress Holding เข้าไปถือหุ้น 48.99% เพื่อไม่ให้เป็นนิติบุคคลต่างด้าว แล้วให้ บริษัท กุหลาบแก้ว ซึ่งมี Cypress Holding ควบคุมอยู่แล้ว เข้าไปถือหุ้นอีก 41.1% ส่วนไทยธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้น 9.9% ดังนั้น แม้ในทางรูปแบบของกฎหมาย Cedar Holding จะมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นอยู่ 51% แต่เมื่อดูเสียงผู้ถือหุ้นในการควบคุมบริษัท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจแล้ว เทมาเส็ก ของสิงคโปร์ มีเสียงผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ถึง 90% (Cypress Holding 48.99% บวกกับ กุหลาบแก้ว อีก 41.1%)

ดังนั้น การกระทำดังกล่าวของนายพานทองแท้ กับพวกที่ยินยอมให้มีการขายหุ้น และให้ตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศเข้ามาทำการตรวจสอบรายละเอียดถึงทรัพย์สิน หนี้สินของบริษัทในเครือทั้งหมด จึงเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 124 ที่บัญญัติ ว่า กระทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสารใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ เนื่องจากบริษัท ชินคอร์ป หรือ เอไอเอส ได้รับสัมปทานโทรศัพท์มือถือ และระบบวงจรดาวเทียมไทยคมไปจากรัฐบาลไทย เมื่อมีการขายหุ้นดังกล่าวผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำให้กิจการสื่อสารและโทรคมนาคมของชาติตกไปเป็นของประเทศสิงคโปร์ เพราะเทมาเส็กจะต้องมาตรวจสอบทรัพย์สิน ทำให้รู้รายละเอียดของสถานีรับอาณัติสัญญาณ ของระบบวงโคจรดาวเทียม คลื่นของดาวเทียม คลื่นโทรทัศน์ เท่ากับรู้ความความลับของประเทศไทย

นายวีระ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการขายหุ้นครั้งนี้ มีหลายๆ ความเห็น อย่างตนมีความเห็นว่าผิด ท่านนายกฯมีความเห็นว่าไม่ผิด แต่ตนหรือนายกฯ ไม่ใช่คนตัดสิน ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องตัดสินว่า เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 124 หรือไม่

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนก็ให้ความร่วมมือดีรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ หลังจากนี้พนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่ผมนำมายื่นให้ ซึ่งผมจะติดตามต่อไปว่า จะมีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา หรือจะมีการประวิงเวลาเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดหรือไม่ เพราะผู้กะทำความผิดไม่ใช่บุคคลธรรมดา เป็นลูกชายลูกสาวนายกฯ นายวีระ กล่าว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์