สนธิดับไฟใต้ใน 1 ปี เน้นใช้การเมืองนำ

ไทยรัฐ

เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายครั้งติดต่อกันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจมอบหมายให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เดินทางไปประสานทางการมาเลเซียเพื่อหามาตรการดับไฟใต้ ในขณะที่หน่วยงานในพื้นที่ยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหา โดยเมื่อตอนสายวันที่ 21 มิ.ย. นายบุณยสิทธิ์ สุวรรณรัตน์ ผวจ.ยะลา ได้เดินทางไปที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อ.เมืองยะลา เพื่อพบปะกับครูสอนศาสนา หรือ อุสตาซ จำนวน 19 คน ซึ่งเคยถูกทางการจับกุมที่เกาะร้างแห่งหนึ่งใน จ.สตูล ข้อหาก่อความไม่สงบ แต่ภายหลังสอบสวนแล้วพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงได้ปล่อยตัวกลับมา ในการพบปะครั้งนี้ นายบุณยสิทธิ์ได้ขอให้ครูสอนศาสนาทุกคนช่วยชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักศาสนาอิสลามแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติ

ช่วงสายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายมะอูเซ็ง สาแม อายุ 29 ปี บ้านเลขที่ 83 หมู่ 4 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส กับนายดือรอฮิง ดอฆอ อายุ 29 ปี บ้านเลขที่ 15 หมู่ 4 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง ได้บริเวณที่ว่าการอำเภอเจาะไอร้อง ขณะทั้งคู่มาทำทีติดต่อขอทำหนังสือผ่านแดนเดินทางไปมาเลเซีย และจากการตรวจสอบภาพในวีดิโอวงจรปิดของทางอำเภอพบว่าเป็นคนเดียวกับคนร้ายที่ลอบวางระเบิดแสวงเครื่องใต้ม้าหินอ่อนหน้าที่ว่าการอำเภอเจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ระเบิดไม่ทำงาน เบื้องต้นทั้งสองยังให้การปฏิเสธ

วันเดียวกัน ได้มีแนวร่วมกลุ่มโจรใต้นำใบปลิวมาโปรยในพื้นที่ ต.ละแอ ต.บาโร๊ะ ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ข้อความเป็นภาษาไทยและภาษายาวี โจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และยังข่มขู่จะก่อเหตุอีกหากทางราชการยังรังแกชาวบ้าน ขณะเดียวกันมีรายงานด้วยว่า หน่วยข่าวในพื้นที่พบสิ่งบอกเหตุคือมีกลุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านจำนวนมากออกมาซื้อน้ำมันตามปั๊มหลอดอย่างผิดสังเกต จึงได้แจ้งเตือนให้หน่วยราชการต่างๆเพิ่มความระมัดระวังสถานที่ราชการ และสถานที่ สำคัญๆต่อไปแล้ว นอกจากนี้ ยังพบแนวร่วมกลุ่มอาร์เคเคเข้ามาเคลื่อนไหว โดยมีเป้าหมายลอบทำร้ายข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานแต่ละแห่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ภาย หลังเดินทางกลับจากมาเลเซียถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบอำนาจการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เรื่องรายละเอียดต้องขอไปศึกษาก่อน สิ่งที่จะต้องดำเนินการโดยใช้การเมืองนำการทหารนั้นอาจต้องเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กบชต.) มีหน่วยงานขึ้นตรงทั้ง ผบ.เหล่าทัพ มหาดไทย คิดว่าไม่น่ามีปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจะตกเป็นแพะ เหมือนคนอื่นที่ได้รับมอบหมาย พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่กังวล เพราะมีแผนงานและมีความเข้าใจ คงไม่ปรับแผน เพราะดีอยู่แล้ว แต่ต้องกำชับให้ทุกหน่วยทำตามแนวทางที่กำหนดไว้ให้เต็มความสามารถ หลักการและแผนงานมีอยู่แล้ว แต่บางอย่างไม่สามารถจัดการตามแผนได้ เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยเปรยว่าหากให้เป็นผู้ดำเนินการใช้เวลา 1 ปี ก็สามารถแก้ปัญหาได้ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ตนพูดว่า 1 ปี จะเห็นหน้าเห็นหลัง การทำงานต้องมีการศึกษา ประเมิน และหารือในการปฏิบัติงานว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไข

พล.อ.สนธิยังได้กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซียว่า เป็นการเดินทางไปเยือนเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีกับผู้บัญชาการทหารบกของมาเลเซียยืนยันว่า ทางทหารเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ว่าจะเรื่องของการประชุม การลาดตระเวนร่วมกัน เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกันมาโดยตลอด ไม่ได้มีการหารือถึงปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงเรื่อง 131 คนไทยที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ก็ไม่มีการพูดถึง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะมอบอำนาจการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ร่างแผนดำเนินการเป็นนโยบายในการปฏิบัติงาน เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี มี 2 แนวทาง คือ 1. ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง โดยให้ กบชต. เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อ กสชต.เช่นเดิม มีหน้าที่ประสานงาน โดยจะมีการเพิ่มอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารบก คือ การสั่งการวางแผน ประเมินผล และกำกับดูแล รวมทั้งรวบรวมกลั่นกรอง เสนอแนะ และจัดทำแผนโครงการ แต่ไม่ได้เพิ่มอำนาจในการเป็นผู้กำหนดนโยบายโดยตรง และแนวทางที่ 2 คือ การปรับโครงสร้างการทำงานของ กบชต. ใหม่ ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ สมช.กำลังพิจารณาเพื่อเตรียมที่จะเสนอต่อนายกรัฐมนตรี

ทางด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงกระแสข่าวย้าย พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบช.ภ.9 ออกจากพื้นที่ ว่า พล.ต.ท.อดุลย์เป็นตำรวจที่ดี การทำงานของ ผบช.ภ.9 ทำให้ขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจดีขึ้น พล.ต.ท. อดุลย์ได้รับการคัดเลือกให้ทำงานทางภาคใต้ เพราะเป็นคนเสียสละ เป็น ผบช.คนเดียวที่อยู่แนวหน้าตลอด อยู่ที่ สปก.ตร.สน.จ.ยะลา ไม่ได้อยู่ในที่ตั้ง ผบช.ภ.9 จ.สงขลา ทุกครั้งที่มีเหตุจะไปที่เกิดเหตุทุกครั้ง นอกจากนั้น ยังเป็นผู้วางระบบต่างๆ ทำให้ปัจจุบันการทำงานของตำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของหน่วยงานตำรวจ ทหาร และพลเรือน อย่างไรก็ตาม การทำงานจะให้ทุกอย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปไม่ได้ จะเปลี่ยนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นมานานกว่าครึ่งศตวรรษให้ดีขึ้นทันทีทันใด ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องค่อยเป็นค่อยไป

พล.ต.ท.อชิรวิทย์ยังกล่าวถึงกรณีตำรวจรถไฟจับกุมนายวีรพงษ์ ล่ำดี อาสาสมัครทหารพราน ขณะซุกระเบิดจำนวนมากขึ้นรถไฟเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ทางศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ศปก.สน.ภ. 9) ได้ประสานตำรวจสอบสวนกลางขอข้อมูลนำไปตรวจสอบ ว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้หรือไม่ ขณะเดียวกัน ได้เชิญวิทยากรมาให้ความรู้หัวหน้าสถานีตำรวจ ในการพัฒนารูปแบบปฏิบัติงาน รวมทั้งปรึกษาปัญหาหนักใจ ขอเรียนตรงๆว่า การใช้กระบวนการยุติธรรมปกติเป็นเรื่องที่เราไม่มีโอกาสชนะ เราได้ประชุมกันมีการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ว่าต้องเข้าไปคลุกคลีและปฏิบัติงานด้านมวลชนมากขึ้น

พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องใช้คือความยุติธรรม ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมปกติแต่เพียงอย่างเดียว อยากขอร้องสื่อมวลชนและผู้สันทัดกรณีที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องปัญหาภาคใต้ หรือผู้ที่ไม่รู้จริงว่าคำวิพากษ์วิจารณ์มีผลกระทบอย่างมากกับการปฏิบัติการทางจิตวิทยา สิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องการคือขวัญกำลังใจ เพราะภาวะตรงนั้นคือภาวะสงคราม การใช้กระบวนการยุติธรรมตามปกติกับภาวะสงครามนั้น รบไปก็มีแต่แพ้ คนที่ไม่เข้าใจปัญหาพยายามดึงเอาเรื่องที่เป็นปกติมาใช้กับปัญหาที่ไม่ปกติ ทำให้หนักใจกับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ที่อยู่ส่วนกลางควรให้กำลังใจชี้ทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่สักแต่วิจารณ์ ที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาระดับบนไม่เคยถาม ปัญหาก็เลยเกิด กว่าจะสืบจะจับหาพยานหลักฐาน ทำให้ พยานบุคคลหนีหมด ขึ้นศาลก็ยกฟ้อง รวมทั้งการกล่าวหาโจมตีเจ้าหน้าที่เรื่องจับแพะ ทำให้ผู้ปฏิบัติทำงานยาก ทั้งที่ความยุติธรรมต้องมาก่อน ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม

สิ่งที่ผมขอพูดคือมีคนที่อยู่บนหอคอยงาช้างเยอะครับ ไอ้พวกสักแต่สั่ง อยากบอกให้ทราบว่า ถ้าผมเบรกแตกเมื่อไหร่ ผมอาจจะต้องพูดให้พี่น้องประชาชนทราบ และขอบอกได้เลยว่าผมไม่เกรงใจใคร ผมรักบ้านเมืองและประชาชน บ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของใครคนเดียว เราต้องช่วยกัน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์