ศาลเชื่อ เปมิกา เป็นชู้ หมอเผ่า จริง สั่งชดใช้ภรรยา 2 ล้าน จำเลยพร้อมอุทธรณ์ต่อ

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษามีหลักฐานเชื่อว่า "เปมิกา"มีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ"หมอเผ่า"สั่งชดใช้ค่าเสียหาย "ภรรยาตามกฎหมาย" เป็นเงิน 2 ล้านบาท ทนายจำเลยพร้อมอุทธรณ์ต่อ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 กันยายน ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 511/2550 ที่ นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของ นายแพทย์ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชา แอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อดีตเพื่อนสนิทของ นายแพทย์ประกิตเผ่า เรื่อง เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว จำนวนทุนทรัพย์ 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี
      
โดยหลังศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานจากการนำสืบแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลย ที่มีความใกล้ชิดกับ นายแพทย์ประกิตเผ่า สามีของโจทก์ รวมทั้งคำให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ของจำเลย มีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ ฉันชู้สาว กับสามีโจทก์จริง
      
ส่วนคดีเสียหาย ที่โจทก์ เรียกร้องทุนทรัพย์จำนวน 27 ล้านบาท ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นการเรียกร้องค่าเสียหาย

เรื่องการทำให้เสื่อมเสีย เชื่อเสียง ศักดิ์ศรี และเกียรติยศ รวมทั้งเรียกร้องเรื่องการทำมาหาได้ ของตัวโจทก์และครอบครัว โดยศาลตีราคาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำนวน 2 ล้านบาท พร้อมอัตราดอกเบี้ย ทนายความของนางอลิสา เปิดเผยว่า นางอลิสา พอใจผลการตัดสินของศาล เพราะความตั้งใจเพื่อต้องการปกป้องครอบครัวและธุรกิจเป็นหลัก ขณะที่ทนายความของ น.ส.เปมิกา เตรียมยื่นอุทธรณ์ในทุกประเด็น และเรื่องดังกล่าวยังเป็นคดีความฟ้องร้องของ 2 ฝ่าย อยู่ที่ศาลอาญา อีกนานกว่าคดีจะสิ้นสุด
      
สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นางอลิสา โจทก์ เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ โดยสมรสกันตามประเพณีอยู่กินฉันท์สามี ภรรยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 มีบุตรด้วยกัน 2 คน

ต่อมาเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2549 จำเลยได้เข้ามาตีสนิทกับ นพ.ประกิตเผ่า สามีโจทก์ และได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันมากขึ้น จนกระทั้งถึงต้นปี พ.ศ.2550 จำเลยได้บังอาจแสดงตนเปิดเผยต่อสาธารณะชนและบุคคลทั่วไปว่า มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โดยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า การที่มารดาและพี่ชายของสามีโจทก์นำสามีโจทก์ไปรักษาพยาบาล ที่ รพ.ศรีธัญญา จ.นนทบุรี นั้น เป็นการสมคบร่วมกันนำตัวสามีโจทก์ ไปคุมขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่ความจริงแล้วสามีโจทก์ป่วยเป็นโรคจิตเวช อันนำมาซึ่งผลแห่งคดีนี้ จำเลยมุ่งหวังที่จะนำสามีโจทก์ไปอยู่กับจำเลย อันเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
      
นอกจากนี้ จำเลยยังได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนทุกแขนง โดยเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว กับสามีโจทก์อีกหลายครั้ง

การกระทำของจำเลยได้แสดงตนโดยชัดเจนเปิดเผยโดยที่โจทก์ไม่รู้เห็นเป็นใจและยินยอม ให้สามีโจทก์และจำเลยกระทำดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อความสัมพันธ์อันดี และการกินอยู่ฉันท์สามีภรรยา จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าว

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์