ร้อง!ลูกสาว4 ขวบถูกนศ.แพทย์ทำอนาจารคาห้องเรียน ผอ.โรงเรียน-ครูประจำชั้นมึน! ยันไม่มีเหตุเกิดขึ้น

ผู้ปกครองบุกแจ้งความนศ.แพทย์ กล่าวหากระทำอนาจารลูกสาววัย 4 ขวบ ในห้องเรียน ขณะย้ายห้องไปเรียนศิลปะ ด้านผอ.โรงเรียน-ครูประจำชั้น มึน! ยันไม่มีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น ตำรวจตรวจหลักฐานตามที่เด็กให้ปากคำ พร้อมส่งตัวตรวจหาร่องรอย

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 6 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางแก้ว (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี อยู่บ้านไม่ทราบเลขที่ ถ.จริงจิตร ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง ว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ตนได้พา ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 4 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนเทศบาล 5 วัดควนขัน ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง บุตรสาว เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.สุรชัย ขำทับน้ำ ร้อยเวร สภ.เมืองตรัง ว่า ลูกสาวถูกกระทำอนาจาร โดยนักศึกษาแพทย์จากวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร วิทยาเขตตรัง ตั้งอยู่ ต.ควนธานี อ.กันตัง จ.ตรัง

นางแก้ว (นามสมมุติ) มารดาของเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้าย กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนได้ไปรับลูกสาวกลับมาจากโรงเรียน ได้สังเกตเห็นอาการผิดปรกติของลูกสาว โดยลูกสาวบอกว่า เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ จึงได้สอบถามจากลูกว่า เป็นอะไร  ลูกสาวเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีหมอมาฉีดยาที่โรงเรียน ตนจึงถามต่อไปว่า  หมอฉีดยายังไง  ลูกสาวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุลูกสาวได้ย้ายห้องเรียนจากที่เรียนอยู่ห้องประจำ ไปเรียนที่ห้องเรียนศิลปะ โดยมีครูประจำชั้นคือ ครูเอ เป็นคนพาเด็กทั้งหมดไป  จากนั้น เด็กเกิดปวดปัสสาวะ จึงออกจากห้องศิลปะ เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องผ่านห้องเรียนของนักเรียนชั้นปฐมวัย 1  ขณะนั้นภายในห้องไม่มีนักเรียนแล้ว เพราะต้องย้ายห้องเรียน ขณะที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องก็เจอหมอ ซึ่งทราบภายหลังว่า เป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดจากวิทยาลัยการสาธารณสุขฯ มารับเด็กนักเรียนชั้น ป.1 และ ป.2 เพื่อพาไปตรวจฟันที่วิทยาลัย โดยหมอได้บอกกับ ด.ญ.บี ว่า สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ต้องให้คุณหมอตรวจ เพื่อนคนอื่นสุขภาพดีไม่ต้องตรวจ แล้วก็พา ด.ญ.บี เข้าไปภายในห้องเรียนชั้นปฐมวัย 1 ซึ่งเป็นห้องที่ปิดประตูมิดชิด คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นเข้าไปได้

นางแก้ว เล่าอีกว่า หลังจากนั้นหมอก็ได้กระทำอนาจารภายในห้อง โดย ด.ญ.บี เล่าให้ฟังว่า มีเลือดไหลออกมา และมีน้ำซึ่งน่าจะเป็นน้ำอสุจิของหมอ หยดลงบริเวณท้องน้อย หลังจากนั้นเห็นคุณครูเอ ซึ่งเป็นครูประจำชั้น เปิดประตูเข้ามาเจอ  หมอก็บอกว่า ให้คุณครูเอ ช่วยมาถ่ายรูปให้หน่อย แต่คุณครูเอ ตกใจจึงวิ่งหนีออกไป หลังจากนั้น ครูเอได้นำผ้ามาเช็ดคราบอสุจิบริเวณท้องน้อยของ ด.ญ.บี ออก ซึ่งหลังจากฟังที่ลูกสาวเล่าจบ ตนก็พาตัวลูกสาวไปแจ้งความ และพาไปตรวจร่างกายที่ รพ.ตรัง เพื่อหาร่องรอยการกระทำอนาจาร โดยทางหมอที่โรงพยาบาลแจ้งว่า บริเวณเหนืออวัยวะเพศ มีร่องรอยถูกกดด้วยนิ้วจนเป็นรอยช้ำ ส่วนบริเวณอวัยวะเพศมีร่องรอยฉีกขาด ตนจึงเชื่อว่า สิ่งที่ลูกสาวเล่าให้ฟัง น่าจะเป็นความจริง

ต่อมาเมื่อเวลา 15.30 น.ทาง ร.ต.ท.สุรชัย ซึ่งเป็นเจ้าของคดี ได้เดินทางมาตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ โดยห้องที่เกิดเหตุอยู่บนชั้น 2 ของอาคารเรียน 1 โรงเรียนเทศบาล 5 วัดควนขัน พบว่า ประตูห้องดังกล่าว เป็นประตูกระจก ติดผ้าม่านภายใน คนอยู่ภายนอกจะไม่สามารถมองเห็นข้างในได้จริง พร้อมกับเข้าไปตรวจสอบภายในห้อง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม โดยทางตำรวจได้นำเอาเบาะปูที่นอน เพื่อจะส่งไปตรวจสอบหาร่องรอย ตามที่ผู้กล่าวหาให้ปากคำ พร้อมทั้งรอรับผลการตรวจร่างกายจากทางโรงพยาบาลอีกครั้ง

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าพบ นางจันทนา กันตังกุล ผอ.รร.เทศบาล 5 วัดควนขัน เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดย นางจันทนา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในวันเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน เนื่องจากเดินทางไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แต่พอทราบเหตุ ก็เรียกเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบถาม โดยเฉพาะ นส.อรนุช จันแดง อายุ 24 ปี หรือครูเอ ครูประจำชั้น ด.ญ.บี ที่ผู้กล่าวหาระบุ ซึ่ง นส.อรนุช เองก็ยืนยันกับตนว่า ไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในห้องเรียนอย่างแน่นอน เพราะ นส.อรนุช เป็นครูที่อยู่ประจำกับเด็กตลอดเวลา และในช่วงที่นักศึกษาแพทย์ มารับเด็กไปตรวจสุขภาพฟันนั้น เด็กในห้อง พร้อมกับครูอรนุช ก็ไม่ได้ลงมาชั้นล่าง ซึ่งเป็นจุดที่นักศึกษาแพทย์มารอรับเด็ก

ผอ.โรงเรียนฯ กล่าวต่อไปว่า เรื่องดังกล่าว หากเป็นเรื่องจริง ตนก็ยินดีที่จะร่วมมือกับทางผู้ปกครอง เพื่อหาคนกระทำความผิดมาลงโทษ เพราะตนเชื่อว่า คนเป็นครู ไม่น่าจะมาปกป้องคนร้ายที่มากระทำย่ำยีลูกศิษย์ ที่เปรียบเสมือนกับลูกตัวเอง ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงตามที่ผู้ปกครองเด็กกล่าวหา ตนเชื่อแน่ว่า คนที่เป็นครูประจำชั้นคงต้องร้องโวยวายให้คนช่วยอย่างแน่นอน เพราะ น.ส.อรนุช ก็ยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับนักศึกษาแพทย์ดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งช่วงที่นักศึกษาแพทย์มารอรับเด็กไปทำฟันก็เป็นช่วงที่ น.ส.อรนุช ดูแลเด็กอยู่ในห้องตลอด ซึ่งนักศึกษาแพทย์เองก็มาอยู่ในโรงเรียนแค่ไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น ครูคนอื่น ๆ ก็เห็นทุกคน

 “ดิฉันไม่ทราบว่าผู้ปกครองเด็กคนนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เพราะตั้งแต่เป็นครูมา ดิฉันไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้ และดิฉันเชื่อมั่นในตัวบุคลากรของโรงเรียน ว่าทุกคนคงไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ในโรงเรียนอย่างแน่นอน ส่วนว่า เด็กจะโดยกระทำอนาจารจริงหรือไม่ เหตุจะเกิดที่ไหน คงเป็นเรื่องที่ต้องหาความจริงกันต่อไป แต่ดิฉันมั่นใจว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในโรงเรียนตามที่ผู้ปกครองเด็กกล่าวหา” นางจันทนา กล่าว

ด้าน ครูประจำชั้นของ ด.ญ.บี เปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ผู้ปกครองอ้างว่า เกิดเหตุเวลาประมาณ 10.00 น. จะมีนักศึกษาแพทย์ มารอรับเด็กชั้น ป.1-ป.2 เพื่อพาไปตรวจฟันที่วิทยาลัยการสาธารณสุขฯ โดยจะมารับเด็กเป็นประจำทุกวันศุกร์ ซึ่งปกติจะให้ นักศึกษาแพทย์ผู้หญิงมารับ แต่ในวันเกิดเหตุ เป็น นักศึกษาแพทย์ผู้ชาย ซึ่งช่วงที่นักศึกษาแพทย์มารอรับเด็ก ตนก็ยังดูแลเด็กอยู่ในห้องปฐมวัย 1 ซึ่งเป็นห้องเรียนประจำของ ด.ญ.บี ระหว่างนั้นเด็กนักเรียนก็ยังอยู่ในห้อง โดยวันเกิดเหตุมีเด็กมาเรียน 10 คน จากทั้งหมด 14 คน

น.ส.อรนุช กล่าวต่อไปว่า ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่ตนต้องย้ายเด็กจากห้องปฐมวัย 1 เพื่อย้ายไปเรียนศิลปะที่อีกห้องหนึ่ง ระหว่างที่รอเข้าห้องศิลปะ ด.ญ.บี หร้อมกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีก 1 คน ได้เดินไปเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ได้บอกกับตน ซึ่งกำลังยุ่งกับการเปิดประตูจะพาเด็กเข้าห้องศิลปะ มารู้อีกทีตอนที่ ด.ญ.บี พร้อมกับเพื่อน เดินกลับมาแล้ว ตนจึงถามว่า ไปไหนมา ด.ญ.บี ก็บอกว่าไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งตนก็บอกว่า ทีหลังต้องบอกครูด้วย ซึ่งหลังจากเข้าห้องน้ำมา ตนก็เห็นอาการของ ด.ญ.บี เป็นปกติทุกอย่าง ซึ่งปกติแล้ว ถ้าหากเด็กคนนี้เจอเรื่องอะไรมา มักจะมาเล่าให้ครูฟังประจำ เพราะเป็นเด็กฉลาด ซึ่งเมื่อคืนเดียวกับวันที่เกิดเหตุ ตนและเพื่อนครูอีกคน ก็รับโทรศัพท์จากผู้ปกครอง ด.ญ.บี ซึ่ง ด.ญ.บี ก็เล่าให้ฟังเหมือนที่ผู้ปกครองมากล่าวหาทั้งหมด ทำให้ตนเองก็ไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ในส่วนของนักศึกษาแพทย์ ผู้สื่อข่าวยังไม่สามารถติดต่อขอพบได้ เนื่องจากเป็นวันหยุด ไม่สามารถประสานงานกับทางวิทยาลัยได้ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดต่อเพื่อขอทราบว่า นักศึกษาแพทย์ที่มารับเด็กวันนั้น เป็นใคร เพื่อจะเชิญตัวมาสอบปากคำเพื่อหาความจริง พร้อมทั้งจะเชิญครูประจำชั้นของเด็กไปสอบปากคำอีกครั้ง โดยจะตรวจสอบเรื่องสถานที่เกิดเหตุว่า เป็นที่ห้องเรียนจริงตามที่ผู้ปกครองเด็กแจ้งหรือไม่ เพราะทางโรงเรียนยืนยันว่าไม่ได้เกิดเหตุในห้องเรียนตามที่ถูกกล่าวหา


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์