จำคุกพลเมืองดี ทำร้ายไอ้หื่น

ศาลพิพากษาคุกปีครึ่งอดีตนักมวยคาดเชือกเป็นพลเมืองดี

ช่วยแม่ค้าให้เช่าพระเครื่อง ถูกคนเก็บขยะพยายามข่มขืน ใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าช่วย เตะหนุ่มหื่นหลายครั้งจนล้มฟุบ ก่อนที่แม่ค้าที่ถูกปลุกปล้ำ จะใช้คัตเตอร์กรีดหน้าไอ้หื่นจนตาย เหตุเกิดเมื่อเดือนส.ค. ปี"48
ศาลชี้ทั้งคู่มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ให้จำคุกแม่ค้าสาว 1 ปี ส่วนอดีตนักมวยจำคุก 1 ปี 6 เดือน

เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี ที่ 714 ศาลอาญา
 
ศาลออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาความคดีผิดต่อชีวิต ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องน.ส.อรุณี ทองพรม อาชีพให้เช่า พระเครื่องย่านสนามหลวง และนายอัศวิน วงค์วิทยา อดีตนักมวยคาดเชือก อาชีพค้าขาย เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่น พาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุอันควร

คำฟ้องโจทก์ระบุความผิดสรุปว่า
 
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2548 เวลากลางคืน นายยะ ไม่ทราบนามสกุล อาชีพเก็บขยะขาย ที่อยู่ในอาการเมาสุราได้พยายามปลุกปล้ำข่มขืน จำเลยที่ 1 จึงตะโกนร้องและวิ่งหนีมาขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 2 ที่ขายเชือกสายร่มสำหรับแขวนพระบริเวณใกล้เคียงกัน จำเลยที่ 2 จึงวิ่งเข้าไปเตะผู้ตายหลายครั้งจนล้มฟุบ จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้หยิบมีดคัตเตอร์กรีดที่ใบหน้าของนายยะหลายครั้ง ทำให้นายยะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า

จำเลยที่ 1 รู้จักกับผู้ตายเป็นเวลานาน และเหตุที่กระทำไป เพราะถูกล่วงละเมิดทางเพศ เห็นว่าเป็นการบันดาลโทสะ พิพากษา จำเลยที่ 1 ฐาน ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ให้จำคุก 2 ปี ฐานพกพาอาวุธไปในเมืองหรือ ทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุอันควร ปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี ปรับ 50 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี 6 เดือน

นายชาญเชา ชัยยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง

กรณีการพิพากษาจำคุกอดีตนักมวยซึ่งเป็นพลเมืองดีในการช่วยเหลือหญิงที่กำลังถูกคนร้ายลวนลามว่า ปัจจุบันกฎหมายอาญานั้นมีการ สนับสนุนให้ทุกคนเป็นพลเมืองดีที่เข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ตกเป็นอาชญากรรมทุกรูปแบบ แต่การที่พลเมืองดีเข้าไปให้การช่วยเหลือนั้นจะต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย โดยไม่ใช้ความรุนแรงจนเกินขอบเขตและทำให้คนร้ายได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

ทั้งนี้ตนอยากฝากไปถึงพลเมืองดีทุกคนอย่าพึ่งท้อแท้ เนื่องจากกฎหมายที่ใช้อยู่สนับสนุนให้ทุกคนเป็นพลเมืองดีไม่ใช่ไม่สนับสนุน แต่การช่วยเหลือเหยื่อแต่ละครั้งต้องใช้ความรอบคอบควรจะพิจารณาด้วยว่า คนร้ายที่กำลังก่อเหตุมีอาวุธหรือไม่ หากคนร้ายไม่มีอาวุธแต่พลเมืองที่เข้าไปช่วยเหลือกลับใช้อาวุธ ทำร้ายร่างกายคนร้ายจนถึงแก่ความตายซึ่งก็จะถือว่าทำเกินกว่าเหตุ ขอให้ทุกคนที่เป็นพลเมืองดีอย่าเข้าใจผิดว่ากฎหมายไม่คุ้มครองและให้การสนับสนุน

นายนคร ชมพูชาติ รองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า

การช่วยเหลือเมื่อช่วยให้ผู้ถูกล่วงละเมิดพ้นอันตราย แล้วก็น่าจะเพียงพอ แต่กรณีนี้จำเลยที่ 2 อาจจะมีอารมณ์หรือบันดาลโทสะโดยไม่สนใจชีวิตคนร้ายจะเป็นอย่างไรก็ถือว่ามีโทษแม้ว่าจะเป็นพลเมืองดีก็ตาม เหมือนกับกรณีที่ชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์คนร้ายก็เช่นกัน เพราะบ้านเมืองยังมีกฎหมาย ไม่ใช่ศาลเตี้ยที่จะสั่งประหารหรือฆ่าใครก็ได้ แม้ว่าเขาจะกระทำความผิดจริงก็ตาม ดังนั้นเห็นว่าการเป็นพลเมืองดีต้องควบ คุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ อย่าไปมีอารมณ์ร่วมและเมื่อช่วยผู้ที่ถูกกระทำพ้นอันตรายแล้วก็น่าจะเพียงพอ ให้กฎหมายดำเนินการจะดีที่สุด

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์