จำคุกตลอดชีวิต แก๊งปาหิน ทำคนขับตาบอด

จากคดีนายสมยศ ศรีโชค อายุ 31 ปี พนักงานห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลศรีอโยธยา

ขับรถพาพวกกลับจากส่งสินค้าเครื่องดื่มให้ลูกค้า มาถึงถนนสายบางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา เส้นสายใน ระหว่าง กม.8-9 ต.บ้านโพ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ขว้างหินใส่หน้ารถทะลุถูกหน้านายสมยศเบ้าตาขวาแตกตาทะลัก ต่อมาตำรวจตามจับกุมคน ร้ายได้ยกแก๊ง ประกอบด้วย นายสุเทพ หรือนิ่ม พวงมาลัย อายุ 41 ปี อดีตพนักงานห้างดังกล่าว นายสัมฤทธิ์ หรือบอล พวงมาลัย อายุ 19 ปี ลูกชายนายสุเทพ นายประทาน หรือทวน ชมสมุทร อายุ 45 ปี และนายอาร์ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้ต้องหารับสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าว เพื่อชิงเงินค่าเครื่องดื่มนับแสนบาท ที่เหยื่อกับพวกเก็บมาจากลูกค้า ซึ่งคดีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับนายสมยศไว้เป็นผู้ป่วยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และมีพระเสาวนีย์ให้เร่งส่งฟ้องผู้ต้องหาอย่างเฉียบขาดเพื่อให้เป็นตัวอย่างว่าผู้ที่ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวกับคนอื่นจะได้รับโทษเช่นใดนั้น
 

ในที่สุดผู้ต้องหาแก๊งปาหินก็ถูกศาลลงโทษตามกฎหมาย

โดยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. นายธัญญนิตย์ เศรษฐบุตร อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุเทพ หรือนิ่ม พวงมาลัย จำเลยที่ 1 นายสัมฤทธิ์ หรือบอล พวงมาลัย จำเลยที่ 2 และนายประทาน หรือทวน ชมสมุทร จำเลยที่ 3 ต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและปล้นทรัพย์ ส่วนนายอาร์ม มือปาหิน ถูกแยกดำเนินคดีต่างหากเนื่องจากเป็นเยาวชน จะต้องส่งฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา จำเลยทั้ง 3 กับพวกซึ่งเป็นเยาวชนถูกแยกดำเนินคดีต่างหาก

ร่วมกันปล้นทรัพย์เงินจำนวน 500 บาท กระเป๋าสตางค์ พวงกุญแจ พระเครื่อง 1 องค์ ปากกาลูกลื่น 1 ด้าม รวมเป็นราคา 970 บาท ของนายวีระพล แจ้งสว่าง ผู้เสียหายที่ 1 โดยร่วมกันใช้ก้อนหินหนักราวครึ่งกิโลกรัมเป็นอาวุธขว้างใส่กระจกหน้ารถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-9062 พระนครศรีอยุธยา ที่นายสมยศ ศรีโชค ผู้เสียหายที่ 2 ขับตามถนนสายบางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา มีผู้เสียหายที่ 1 และนายสมเกียรติ ตรีวิเชียร ผู้เสียหายที่ 3 นั่งโดยสารมาด้วยกัน ก้อนหินถูกผู้เสียหายที่ 2 บริเวณใบหน้า ลูกตา กับกระดูกเบ้าตาแตกละเอียด แพทย์ รักษาผู้เสียหายที่ 2 ได้ทันท่วงที จึงไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ตาบอดรับอันตรายสาหัส  การกระทำดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป หรือให้พ้นจากการจับกุม โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ 


เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามกับพวกได้พร้อมยึดก้อนหินที่ร่วมกันใช้เป็นอาวุธ รถจักรยานยนต์ ทะเบียน ลขม 37 กรุงเทพมหานคร และหมายเลข ขกง 820 กาญจนบุรี หมวกนิรภัย เป็นของกลาง

เหตุเกิดที่ ต.บ้านโพ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 289, 340, 340 ตรี ริบก้อนหินของกลาง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 970 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ตามคำร้องขอของผู้เสียหายที่ 1 และนายสมยศ ศรีโชค ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้ง 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,000,000 บาท ส่วนนายสมเกียรติ ผู้เสียหายที่ 3 ยื่นคำแถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้ง 3  ในชั้นพิจารณา จำเลยทั้ง 3 ได้ให้การรับสารภาพ และไม่สืบพยาน พร้อมทั้งได้รวบรวมเงิน 30,000 บาท มอบให้นายสมยศ ผู้เสียหายที่ 2 ต่อหน้าผู้พิพากษา เพื่อแสดงความเสียใจและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเท่าที่พอทำได้



จากนั้นโจทก์ได้เบิกตัวผู้เสียหายทั้ง 3 พยานแวดล้อม 1 ปาก ที่เห็นจำเลยทั้ง 3 กับพวก ที่ศาลาพักผู้โดยสารห่างจุดเกิดเหตุราว 100 เมตร

รวมทั้ง พ.ต.ท. นิพัทธ์ แสงไพโรจน์ พนักงานสอบสวน มาเบิกความต่อ ศาล  การพิจารณาของศาลได้ดำเนินต่อเนื่อง กระทั่งเวลา 14.00 น. จึงหยุดพักกลางวัน ต่อมาเวลา 16.30 น. ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยสรุปว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารตามที่พนักงานสอบสวนรวบรวม และพยานวัตถุ รับฟังร่วมกันเพื่อบ่งชี้ถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวกได้ เมื่อจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดจึงรับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามได้อย่างมั่นคงว่าจำเลยทั้งสามคือคนร้าย การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวก จึงเป็นการร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและปล้นทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ตามฟ้องโจทก์
  

เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับสภาพสังคมโดยรวมเห็นว่า

สถานการณ์ในคดีนี้เป็นที่สะเทือนขวัญและมีความหวาดระแวงกันในหมู่ประชาชนที่จำต้องใช้ถนนสาธารณะเป็นทางสัญจรไปมา เพราะไม่ อาจคาดคิดได้ว่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ด้วยวิธีการกระทำผิดอย่างง่ายๆ ของเหล่าคนร้ายเช่นจำเลยทั้ง 3 และในอดีตไม่เคยปรากฏอาชญากรรมทำนองนี้มาก่อน ตลอดจนยังมีการกระทำผิดลักษณะทำนองนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นได้ว่าน่าจะกระทำกันเป็นแบบอย่างโดยผู้กระทำผิดหาได้หวั่นเกรงต่อกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาที่ผู้กระทำต้องการเอารัดเอาเปรียบเพื่อความสุขอันไม่สุจริตและความคึกคะนองของตนฝ่ายเดียว บนความทุกข์และความสูญเสียของบุคคลอื่น จนกระทบต่อเบื้องพระยุคลบาทและพระราชทานพระบารมีอันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาแก่ผู้เสียหายที่ 2 ที่ประสบเคราะห์กรรม ดังนั้นมาตรการในการบังคับโทษแก่จำเลยทั้ง 3 จึงควรเป็นบรรทัดฐานที่มีเหตุผลมาจากพฤติการณ์ในคดีและประกอบด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ต้องการให้บุคคลใดกระทำผิดเป็นเยี่ยงอย่างอีก แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาก็ตาม แต่สมควรระวางโทษสถานหนัก 


พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80, 83, 289 (4) (6), 340 วรรคสาม, 340 ตรี การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 289 (4) (6)  เป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำเลยที่ 2 อายุกว่า 17 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี เห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ให้จำคุกจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ตลอดชีวิต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีกำหนดคนละ 25 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน ริบก้อนหินของกลาง และให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 970 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1,000,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2
 

ทางด้านนายสมยศ ศรีโชค เหยื่อแก๊งปาหิน กล่าวว่า

ดีใจกับคำตัดสินของศาลที่มีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ ตนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และปลื้มใจกับคำตัดสินที่สามารถเอาคนผิดเข้าคุกได้ และวิงวอนว่า หากใครจะไปก่อเหตุ ปาหินจะได้รู้ว่ามีโทษรุนแรงมาก ไม่คุ้มกับการก่อเหตุ เพราะคนที่ถูกหินอาจตายหรือพิการไปตลอดชีวิต ส่วนคนก่อเหตุก็ต้องติดคุก ส่วนเงิน 30,000 บาท ที่จำเลยมอบให้นั้น ไม่คุ้มกับที่ต้องกลายเป็นคนพิการ และตั้งใจจะไม่ใช้สักบาท แต่จะเอาไปทำบุญบวชหลานชายเพื่อเป็นการทำบุญให้ชีวิตพ้นจากความทุกข์  



 


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์