เศษเนื้อเยื่อพิชิตโจร รวบฆาตกร-ฆาตกาม

"ผมเป็นคนฆ่าเธอเองวันนั้นผมเมากัญชากับยาบ้า เลยบุกเข้าไปหาเธอซึ่งอยู่ในห้องตามลำพัง ใช้กำลังทำร้ายและข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ก่อนหยิบเอาเงิน 2 พันหนีไป และคิดไม่ถึงว่าเศษเนื้อเยื่อที่ติดอยู่ในซอกเล็บของเธอจะกลายเป็นหลักฐานสำคัญมัดตัวผมจนได้ จึงขอยอมรับกรรมที่ทำไว้"

คือ คำรับสารภาพของนายศกลรัตน์ หรือ "อาร์ม" จันทรสุข อายุ 19 ปี
 คนร้ายที่ลงมือฆ่าข่มขืนน.ส.พัชรียา อินต๊ะสุข อายุ 25 ปี นักศึกษาปริญญาโทตายคาห้องพักในคอนโดมิเนียม

ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้!??

คดีนี้ตำรวจใช้เวลาร่วม 2 เดือน จึงสามารถตามจับกุมคนร้ายได้ โดยคนร้ายจนมุมเพราะเศษเนื้อเยื่อของตัวเองที่ติดอยู่ในซอกเล็บของผู้ตายขณะต่อสู้กันเศษชิ้นเนื้อที่ว่าจึงกลายเป็นหลักฐานเด็ดพิชิตฆาตกรในภายหลัง งานนี้ "พัชรียา" ไม่ตายฟรี!!

ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นตอนสายวันที่ 15 ต.ค.

ตำรวจสน.คันนายาว เดินทางไปชันสูตรพลิกศพน.ส.พัชรียา ซึ่งถูกคนร้ายฆ่าตายในห้องพักคอนโดมิเนียม ถนนวัชรพล

"พัชรียา"ถูกฆ่าข่มขืนอย่างเหี้ยมโหด!!

สภาพศพของน.ส.พัชรียา ถูกคนร้ายใช้หมอนสีชมพูปิดจมูกจนขาดอากาศหายใจ สิ้นใจตายในสภาพท่อนล่างเปลือยเปล่ามีร่องรอยถูกข่มขืนกระทำชำเรา ในห้องพบร่องรอยการต่อสู้ข้าวของกระจัดกระจาย ทรัพย์สินบางอย่างถูกขโมยไป เจ้าหน้าที่จึงควานหาตัวคนร้ายทันที ซึ่งงานนี้โชคดีตรงที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าที่เล็บมือผู้ตาย มีเนื้อเยื่อของคนร้ายติดอยู่ขณะต่อสู้กันจึงส่งเนื้อเยื่อเหล่านั้นไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เพื่อเก็บไว้เปรียบเทียบกับฆาตกร

คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชน

พ.ต.อ.หาญ เลิศทวีกูล ผกก.สน.คันนายาว สั่งการให้ชุดสืบสวนสน. ออกไล่ล่าคนร้ายเป็นการด่วน มอบหมายให้พ.ต.ท.คารม พรมคุณ สารวัตรเจ้าของคดี พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย สุวรรณนุกูล สว.สส. และร.ต.อ.ทัตพงษ์ จิตบรรจง รอง สว.สส. จัดทีมแกะรอยคนร้ายทันที

ในตอนแรกเจ้าหน้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเพื่อนในอินเตอร์เน็ตที่ผู้ตายเล่นแช็ตไลน์ด้วย

ซึ่งบางที "พัชรียา" อาจถูกคนร้ายที่คุยกันทางเน็ตบุกมาฆ่าข่มขืนก็เป็นได้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ ก็ไม่พบพิรุธใดๆ และที่สำคัญ ไม่มีใครที่มีดีเอ็นเอตรงกับเนื้อเยื่อที่พบในศพผู้ตาย

เจ้าหน้าที่จึงเบนความสนใจไปที่คนข้างห้องเป็นกรณีพิเศษ

เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนมาที่คนในคอนโดฯ ร.ต.อ.ทัตพงษ์ รับหน้าที่สืบสวนหาความผิดปกติของคนในนั้น โดยมีการเชิญบุคคลต้องสงสัยหลายคนมาทำการสอบปากคำ และขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ซึ่ง 1 ในจำนวนนั้นมีนายศกลรัตน์เจ้าของห้อง 264 ที่อยู่ติดกับห้องผู้ตายรวมอยู่ด้วย โดยนายศกลรัตน์ก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี พร้อมปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ซึ่งหลังจากที่นายศกลรัตน์ ยอมตรวจดีเอ็นเอเสร็จ ก็ขอตัวเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนกับบิดาที่บังเอิญได้ตั๋วเครื่องบินมาฟรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็อนุญาตเพราะเห็นว่ายังไม่พบความผิดใดๆ

จนกระทั่งนายศกลรัตน์บินลัดฟ้าพ้นจากเมืองไทย

พนักงานสอบสวนจึงได้รับการติดต่อจากพ.ต.อ.พรชัย สุธีระคุณ แพทย์จากสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ ที่เก็บเนื้อเยื่อจากซอกเล็บของผู้ตายนำไปเปรียบเทียบดีเอ็นเอ แจ้งผลมาว่าเนื้อเยื่อจากซอกเล็บผู้ตายเป็นเนื้อเยื่อจากร่างกายของคนร้ายคือนายศกลรัตน์ พนักงานสอบสวนสน.คันนายาว จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับนายศกลรัตน์ในทันที

กลับมาเมื่อไหร่เข้าคุกเมื่อนั้น

เย็นวันที่ 15 ธ.ค. เป็นวันที่นายศกลรัตน์เดินทางกลับถึงประเทศไทย ซึ่งทันทีที่มาถึงตำรวจคันนายาวได้ถือหมายศาลจังหวัดมีนบุรี ที่2406/2550 ลงวันที่ 15 ธ.ค.2550 เข้าจับกุมนายศกลรัตน์ พร้อมแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา บุกรุกเข้าไปในเคหสถานในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุอันสมควร เล่นเอานายศกลรัตน์ถึงเศร้าในทันที

"ศกลรัตน์" ยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

พร้อมระบุว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเมาทั้งกัญชาและยาบ้า สูบกัญชาไป 5 บ้อง เสพยาบ้าอีก 2 เม็ด จึงเกิดอารมณ์ทางเพศตรงเข้าไปเคาะห้องเรียกผู้ตายให้เปิดประตู แล้วเข้าไปใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืนก่อนใช้หมอนอุดจมูกจนสิ้นใจตาย

เย็นวันเดียวกัน พ.ต.อ.หาญ พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย พ.ต.ท.คารม พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนควบคุมตัวนายศกลรัตน์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ห้องเกิดเหตุ

ซึ่งในการทำแผนนายศกลรัตน์แสดงตอนเดินมาเคาะประตูเรียกผู้ตาย ขณะที่ผู้ตายเปิดประตูห้อง ผู้ต้องหาจึงผลักผู้ตายเข้าห้อง ซึ่งขณะนั้นผู้ตายกำลังสวมเสื้อยืดคอกลมเพียงตัวเดียว ท่อนล่างนุ่งกางเกงชั้นในตัวเดียว โดยผู้ตายพยายามดิ้นรนต่อสู้และใช้เล็บข่วนลำคอผู้ต้องหาจนเป็นรอยแผล ก่อนที่ผู้ต้องหาจะใช้หมอนปิดหน้าปิดจมูกผู้ตายจนสิ้นลมหายใจแล้วข่มขืน ก่อนที่ผู้ต้องหาจะขโมยเงินสดจำนวน 2,000 บาท ของผู้ตายเผ่นหนีออกจากห้องไป

"ศกลรัตน์"ทำแผนอย่างไม่สะทกสะท้าน

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายศกลรัตน์ไปทำแผน ปรากฏว่ามีประชาชนที่ทราบข่าวเดินทางมาดูหน้าคนร้ายจำนวนมาก และพยายามฮือเข้าประชาทัณฑ์ พร้อมกับตะโกนด่าสาปแช่งต่างๆ นานา จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบพาตัวกลับไปควบคุมขังที่สน.แทบไม่ทัน

การจากไปของน.ส.พัชรียา สร้างความเศร้าเสียใจให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทของเธอเป็นอย่างยิ่ง

 ทั้งเพื่อนที่เรียนและที่ทำงานบริษัทเอ็นอีซี.โตคิน ย่านนวนคร ทุกคนถึงกับเอ่ยปากเสียดายในการจากไปของ "พัชรียา" เพราะเธอเป็นคนดีและเป็นที่รักของเพื่อนๆไม่น่ามาจากไปก่อนวัยอันควรแบบนี้

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์