คาร์บอมบ์ ตึกยูเอ็น ตาย72ศพ

ความคืบหน้าเหตุระเบิดพลีชีพด้วยรถยนต์ หรือคาร์บอมบ์ 2 จุด ในกรุงแอลเจียร์ ของประเทศแอลจีเรีย

โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุระเบิดจุดแรกเป็นสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) คนร้ายใช้รถขนระเบิดหนัก 800 กก.เข้าถล่ม ส่วนจุดที่ 2 ใช้รถขนระเบิดหนัก 800 กก.ถล่มรถโดยสารที่มีนักศึกษา เต็มคันบริเวณด้านนอกอาคารศาลสูงสุด ขณะเดินทางไปยังอาคารคณะกฎหมายที่อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ แหล่งข่าวของโรงพยาบาลระบุว่า มีเหยื่อสังเวยชีวิตร่วม 62 รายในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ยูเอ็นด้วย 11 ราย บาดเจ็บอีกราว 100 คน ส่วน นสพ.อัล-วาตาน ของแอลจีเรีย อ้างแหล่งข่าวด้านการแพทย์ระบุมีผู้เสียชีวิตถึง 72 รายนั้น
 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 12 ธ.ค. ว่า กลุ่มอัล เคดา ในอิสลามมาเกรบ หรือ BAQMI ซึ่งเป็นเครือข่ายย่อยของกลุ่มก่อการร้ายอัล เคดา ในแอฟริกาเหนือ

ประกาศผ่านอินเตอร์เน็ตว่า เป็นผู้ลงมือและได้ เผยแพร่ใบหน้าของมือระเบิดพลีชีพ 2 คน ทางเว็บไซต์ด้วย ระบุที่ก่อเหตุเพื่อสั่งสอนพวกที่เป็นทาสของอเมริกา และฝรั่งเศส พร้อมขู่จะโจมตีซ้ำอีก แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยืนยันการออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบดังกล่าว ด้านนางมาลี โอกาเบ โฆษกยูเอ็น แถลงว่าเจ้าหน้าที่ ยูเอ็นผู้เสียชีวิตส่วนมากเป็นชาวแอลจีเรีย แต่มีชาวต่างชาติด้วย 3 ราย และยอดอาจมีเพิ่มอีก เนื่องจากยังมีผู้สูญหายหลายคน หน่วยกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาตามซากปรักหักพังของอาคารที่โดนระเบิดเสียหายย่อยยับ ส่วนสื่อของจีนระบุในจำนวนผู้เสียชีวิต มีชาวจีนด้วยหนึ่งราย บาดเจ็บ 7 คน ทั้งหมดเป็นคนงานบริษัทก่อสร้างสัญชาติจีนที่เข้ามารับงานเหมาก่อสร้างในแอลจีเรีย


อย่างไรก็ตาม ยอดผู้เสียชีวิตข้างต้นยังคงขัดแย้งกับยอดของทางการแอลจีเรียที่ระบุมี 26 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 177 คน

ส่วนนายมูราด เมเดลซี รมว.ต่างประเทศแอลจีเรีย ระบุหลังตนพูดคุยกับ รมว.มหาดไทย พบว่า ยอดผู้เสียชีวิตมี 30 ราย รวมทั้งชาวต่างชาติ 5 ราย แต่นายอับเดลอาซิซ เบลคาเดม นายกรัฐมนตรีแอลจีเรีย ยืนยันว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่ทางการประกาศเป็นจำนวนเหยื่อที่แท้จริงและไม่มีเหตุผลใดที่จะปิดบังไว้ ระบุเลือดทุกหยดของชาวแอลจีเรียที่สูญเสียไปมีความหมายต่อทางการเสมอ ทางด้านนายนูเรดดิน ยาซิด เซอร์ฮูนี รมว.มหาดไทยแอลจีเรีย ระบุว่า รัฐบาลมั่นใจว่ากลุ่ม BAQMI อยู่เบื้อง หลังเหตุโจมตี โดยอ้างผลการสอบสวนกองกำลังที่ถูกจับ หลังเกิดระเบิดเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าสำนักงานยูเอ็นและอาคารศาลคือเป้าหมายการโจมตีในอนาคต ข่าวแจ้งอีกว่า รถที่คนร้ายใช้ก่อเหตุถล่มสำนักงานยูเอ็นเป็นรถบรรทุก ส่วนเหตุถล่มรถโดยสาร คนร้ายใช้รถตู้เล็ก



ส่วนปฏิกิริยาจากประชาคมโลกต่างออกมาประณามการลงมือก่อเหตุโจมตีครั้งนี้

นำโดยนายบัน กี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมประชุมโลกร้อนที่บาหลี ออกมาประณามกลุ่มก่อการร้ายและให้คำมั่นจะให้ความช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัว ทั้งนี้   ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ยูเอ็นทำงานในแอลจีเรีย 175 คน ด้านสหภาพพนักงานยูเอ็นแถลงเรียกร้องให้มีการสอบสวนว่า ยูเอ็นมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุร้ายเช่นนี้ที่จะเกิดกับเจ้าหน้าที่ยูเอ็น  นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่เพิ่งกลับจากการเยือนแอลจีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุ ระบุเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน น่ารังเกียจและขี้ขลาด เช่นเดียวกับผู้นำของรัสเซีย ซีเรีย สเปนและอิตาลี ต่างก็ประณามการโจมตีซึ่งเคยเกิดขึ้นในโมร็อกโก และตูนิเซียด้วย
 

ด้านนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังเหยื่อและครอบครัว ระบุ เป็นการก่อความรุนแรงแบบไร้สติ ส่วนทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ประณามการโจมตีสำนักงานยูเอ็น เป็นฝีมือของศัตรูแห่งมนุษยชาติที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สำหรับเหตุโจมตีในแอลจีเรียครั้งนี้ นับเป็นการโจมตีหน่วยงานยูเอ็นร้ายแรงที่สุดนับจากเกิดเหตุคนร้ายขับรถบรรทุกขนระเบิดพุ่งถล่มสำนักงานยูเอ็นในกรุงแบกแดด เมื่อ 19 ส.ค. 2546 เป็นเหตุให้นายเซอร์จิโอ วิเอรา เดอ เมลโล ทูตพิเศษระดับสูงของยูเอ็น และเจ้าหน้าที่อื่นๆ 22 คนเสียชีวิต


ทั้งนี้ BAQMI หรือชื่อเดิมว่า กลุ่มซาลาฟิสต์ เพื่อสั่งสอนและต่อสู้ (GSPC)

ที่ผ่านมาได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีหลายครั้งทั่วแอลจีเรียตั้งแต่มีการเปลี่ยนชื่อกลุ่ม และปฏิญาณขอภักดีต่อนายโอซามา บิน ลาดิน หัวโจกกลุ่มก่อการร้ายอัล เคด้า ในปีนี้ ส่วนยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุโจมตีที่เคยเกิดในแอลจีเรียขณะนี้มีมากกว่า 120 รายแล้ว อย่างเมื่อ 6 ก.ย. มือระเบิด ฆ่าตัวตาย โจมตีขบวนรถประธานาธิบดีอับเดลอาซิซ บูเตฟลิกา ที่เมืองบัตนา มีผู้เสียชีวิต 22 ราย อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดทางตะวันออกแอลจีเรีย มีเหยื่อดับ 30 ราย บาดเจ็บ 40 คน ส่วนในเดือน เม.ย. เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงแอลเจียร์ มีเหยื่อสังเวย 11 ราย บาดเจ็บ 33 คน  วันเดียวกัน เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์แถบย่านคนมีอันจะกิน เมืองบาบด้า ทางตะวันออกกรุงเบรุต ของเลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บนับสิบคน ในจำนวนผู้เสียชีวิต มีพลจัตวาฟรังซัว อัล-ฮัจจ์ หนึ่งในตัวเต็งที่จะได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพต่อจากพลเอกมิเชล สุไลมาน ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ส่วนที่อิรัก เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ 3 ครั้งติดๆกัน ที่เมืองอามาร่า ภาคใต้ของประเทศ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย บาดเจ็บ 25 คน


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์