พี่สาวชายสติไม่ดี โต้ไม่เกี่ยวคดี,คนขับรถไถขู่ฟ้องพ่อ-แม่ น้องต้าแง

จากคดี น้องต้าแง เด็กชายชาวเมียนมา วัย 2 ขวบ 1 เดือน ได้สูญหายไปเป็นเวลากว่า 9 วัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในไร่อ้อย ม.9 ต.สระพังลาน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี และสุดท้ายพบว่าเสียชีวิตแล้วในสภาพเน่าเปื่อย โดยพ่อแม่เชื่อมีคนทำให้ลูกชายเสียชีวิต ขณะที่ผลชันสูตรศพไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย

ในประเด็นจุดพบศพมีรอบถูกไฟไหม้ บางจุดนั้น หลังจากนี้ จะให้พนักงานสอบสวน ได้เข้าไปตรวจสอบ ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยัน ยังไม่ได้มีการตัดประเด็นในการสืบสวนทิ้ง

ด้านนางพะเยา อายุ 39 ปี พี่สาวของนายฝน อายุ 30 ปี เปิดใจว่า

 รู้ข่าวว่ามีเด็กหาย ตนก็รู้สึกตกใจ จึงได้ออกไปดู และก็ช่วยตามหา โดยภายหลังมาทราบว่า นายฝนตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะได้ขับรถจักรยานผ่านจุดที่ น้องต้าแง หายตัวไป

มั่นใจว่าน้องชายไม่ได้ทำ เพราะปกตินิสัยของนายฝนจะรักเด็ก ชอบเล่นกับเด็ก ถึงแม้จะเป็นคนสติไม่ดี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครเลย ชาวบ้านแถวนี้จะทราบดี เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำร้ายใคร แม้จะโดนขัดใจ นายฝนก็จะมาโวยวายที่บ้าน มีทุบโต๊ะ ทุบกำแพง และต่อว่าพ่อแม่บ้าง แต่เมื่อโดนดุ นายฝนก็จะหยุดทันที และจักรยานของนายฝน เป็นจักรยานเสือหมอบ จะขี่ได้เพียงคนเดียว จึงไม่มีทางที่นายฝนจะทำร้ายน้องต้าแง

นางพะเยา กล่าวอีกว่า ไม่ทราบว่า นายฝนขี่รถจักรยานผ่านไปยังจุดที่น้องต้าแงหายไป แต่ปกติแล้ว นายฝนมักจะขี่รถจักรยานไปหาหลวงพ่อที่วัดใกล้บ้าน ไปนวดให้ท่าน ท่านก็จะให้เงินมาซื้อขนม จึงไม่ทราบว่า นายฝนขับรถไปเส้นทางไหน แต่ปกติแล้ว นายฝนจะไม่ชอบไปไร่อ้อย แต่จะไปที่ที่คนพลุกพล่านมากกว่า

นางพะเยา กล่าวด้วยว่า ตนรู้สึกสงสารนายฝน ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะนายฝนเป็นคนพูดไม่คิด ไม่รู้เรื่องอะไรแต่จะพูดไปก่อนล่วงหน้า จึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ ยืนยันว่า ถึงแม้นายฝนจะสติไม่ดี แต่ก็ไม่เคยเป็นภัยกับคนรอบข้าง

ด้านนายสมาน วงษ์กัณหา คนขับรถไถที่ถูกนายผิว อายุ 26 ปี และนางมอ อายุ 20 ปี พ่อแม่ของ น้องต้าแง สงสัยเป็นผู้ทำให้ลูกชายเสียชีวิต เปิดใจหลังผลชันสูตรออกมาว่า

เมื่อผลชันสูตรออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็สบายใจ เพราะไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าตนเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว หากยังไม่เชื่อผลชันสูตรของทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าครอบครัวยังคงปักใจว่าตนเป็นคนทำร้ายลูกของตนจริงๆ และสัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พาดพิงตนอีก จะปรึกษากับเพื่อนที่เป็นทนายดำเนินคดีกับนายผิว และนางมอ เพื่อเอาศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา เรียกความเป็นไทยคืน เพราะทั้งคู่เป็นพม่า ต้องมาใช้สิทธิในประเทศไทย ดังนั้นหลังจากนี้จะเรียกร้องสิทธิ์ของตนบ้าง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนโดนสังคมต่อว่ากล่าวหาเป็นผู้กระผิดไปแล้ว แต่ทุกคนไม่รู้ความจริง

นายสมาน กล่าวอีกว่า หากนายผิวและนางมอยอมรับผลชันสูตรได้แล้ว จะเดินทางมาขอโทษตนก็ยินดี โดยก่อนหน้านี้มีคนประสานงานมาหาตนว่าจะให้ครอบครัวของน้องต้าแงเดินทางมาคุยกับตนเรื่องที่สงสัยอยู่ ซึ่งพร้อมจะคุย ตนยอมรับว่ารู้สึกโมโห ที่ครอบครัวมากล่าวหาตน เพราะทันทีที่ตนรู้เรื่อง ก็ออกไปช่วยตามหา

แต่ผลที่ได้รับกลับตกเป็นผู้ต้องสงสัย และตั้งแต่เกิดเรื่องตนกลายเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อมีตำรวจมาตรวจค้นที่บ้าน ตนก็ยินดี โดยตำรวจไม่อนุญาตให้เคลื่อนย้ายรถไถ ตนก็ไม่เคลื่อนไปไหนเลย เพราะเมื่อตนจะย้ายรถไปจอดในบ้าน ทุกคนก็มองว่าตนจะหลบหนี จึงจอดทิ้งไว้ ไม่รับงาน ซึ่งปกติแล้ว หากนำรถไถออกไปทำงาน จะมีรายได้วันละ 4,000 บาท ทำให้เสียรายได้นายสมาน กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีเด็กหญิงวัย 3 ขวบ บอกว่าเห็นน้องต้าแงขึ้นไปบนรถไถสีน้ำเงินนั้น อาจเป็นการเข้าใจผิด เพราะตนแค่ขับผ่าน นอกจากนี้เด็กหญิงยังให้การว่าเห็นคนจูงมือไป ทำไมถึงไม่สงสัยคนดังกล่าว และในที่เกิดเหตุ ยังมีเด็กคนไทยอีก 2 คน ตำรวจสามารถไปถามได้เลย ในความคิดตน เด็กไปอยู่ในจุดที่หายไปห่างถึง 5 กิโลเมตร อาจเป็นเพราะวิ่งเล่นกันแล้ว แล้วน้องต้าแง ไปถึงคนสุดท้าย เด็กคนอื่นได้วิ่งกลับไปแล้วก็ได้ นี่คือสิ่งที่ตนสันนิฐาน

นายสมาน กล่าวด้วยว่า ขอบคุณชาวบ้านที่เดินทางมาให้กำลังใจตนถึงที่บ้าน พร้อมขอบคุณทุกๆ กำลังใจ และอยากฝากถึงคนที่ตัดสินคนอื่นโดยยังไม่รู้ความจริง อยากให้คิดก่อนตัดสินใจที่จะกล่าวหาคนอื่น เพราะเมื่อกล่าวหาคนอื่นเสียหายไปแล้ว มันไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้