นรกระฟ้ากลางกรุง!?! เผาโรงแรมแมนดาริน 400ชีวิตหนีอลหม่าน

เมื่อจู่ๆ เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงแรมแมนดาริน ย่านถนนพระราม 4 แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. ตอนเที่ยงคืนวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา เพลิงเผาผลาญห้องพักไปหลายห้อง มีแขกที่เข้าพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บเพราะสำลักควันจนต้องหามส่งโรงพยาบาลหลายสิบราย  ยังดีที่หน่วยกู้ภัยสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ แต่ก็กินเวลานานหลายชั่วโมง ต้องระดมรถน้ำ เฮลิคอปเตอร์และหน่วยผจญเพลิงเข้าปฏิบัติการกลางดึก ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างเสียขวัญของแขกที่ติดค้างอยู่ชั้นบน

โรงแรมหรูสูง 14 ชั้นกลายเป็นนรกระฟ้าในพริบตา!!

หลังรับแจ้งเหตุพล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อภิชาติ เชื้อเทศ ผบก.น.6 รีบเดินทางมาตรวจสอบ พร้อมนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. เดินทางมาร่วมอำนวยการดับเพลิงถึงที่ งานนี้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยนับร้อย เข้าร่วมปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน สภาพเพลิงเกิดขึ้นบริเวณอาคารพี บริเวณชั้น 2 อยู่ระหว่างห้องเก็บของกับห้องฟิตเนส ซึ่งอยู่ตรงทางเชื่อมต่อระหว่างอาคารด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งกำลังมีการปรับปรุงเป็นคาเฟ่ มีการปูพรมและใช้วัสดุที่ทำจากไม้นำมาเก็บไว้จำนวนมาก จึงกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

มีเปลวไฟและกลุ่มควันหนาแน่นเกิดขึ้นที่บริเวณทางเชื่อมอาคารซึ่งทอดตัวติดกัน เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถน้ำกว่า 50 คัน ช่วยกันฉีดสกัดเพลิงอย่างทุลักทุเล เนื่องจากพื้นที่คับแคบรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปฉีดน้ำได้สะดวก

ตลอดเวลาที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ สร้างความแตกตื่นให้แขกชาวต่างชาติที่มาเข้าพักเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนสำลักควันจนต้องหามส่งโรงพยาบาลโกลาหล เนื่องจากควันไฟเหล่านี้ไหลไปตามช่องแอร์ที่ต่อถึงกันทั่วโรงแรม ในขณะเดียวกันคนที่ติดค้างอยู่ในห้อง ต่างก็พากันวิ่งหนีลงมาข้างล่างจ้าละหวั่น บางคนไม่รู้จะหนีไปไหนก็วิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า ขณะที่บางคนก็ออกมายืนอยู่ที่หน้าต่าง โบกไม้โบกมือขอความช่วยเหลืออย่างน่าเสียวไส้ เจ้าหน้าที่เกรงว่าจะเกิดเหตุบานปลาย เนื่องจากไฟลุกไหม้โครงสร้างอาคารเป็นเวลานาน กลัวว่าอาคารจะพังถล่มลงมาจึงขอสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์บินสังเกตการณ์ และช่วยระบายกลุ่มควันให้เจือจาง

เป็นปฏิบัติการในความมืดที่สุดจะทุลักทุเล

การดับเพลิงยังคงดำเนินต่อไป ปัญหาใหญ่คือรถกระเช้าและรถน้ำแรงดันสูงไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ด้านในได้ เนื่องจากสถานที่คับแคบ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปิดการจราจรบริเวณด้านหน้าโรงแรม บนถนนพระราม 4 ตั้งแต่สี่แยกสามย่านถึงสะพานเหลือง เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน

การสกัดเพลิงกินเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่พบว่าโชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต มีแต่เพียงคนเจ็บที่สำลักควันเท่านั้น หลังควบคุมสถานการณ์ได้เจ้าหน้าที่นำแขกต่างชาติที่พักในโรงแรมทั้งหมดกว่า 400 คน ไปพักชั่วคราวที่คริสตจักรที่ 2 สามย่าน

ทุกคนยืนยันว่าขณะเกิดเหตุไม่มีเสียงเตือนภัยจากสัญญาณไซเรนที่ติดตั้งภายในโรงแรม

สปริงเกลอร์ที่ติดอยู่ทั่วตัวอาคารก็ใช้การไม่ได้ เครื่องเตือนภัยทุกอย่างอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน ที่สำคัญ เหตุเกิดกลางดึกเป็นเวลาที่แขกส่วนใหญ่นอนหลับอยู่ในห้อง จึงไม่ได้ยินเสียงอะไร บางคนสงสัยโทรศัพท์ลงมาสอบถามโอปเรเตอร์ก็ไม่มีใครรับสาย โผล่หน้าต่างออกมาดูจึงรู้ว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้
เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบต่อไปว่าทางโรงแรมทำผิดพ.ร.บ.ควบคุมอาคารหรือไม่ หากทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในชั้นนี้มีค่าเสียหายไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน!!

วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ประกาศให้พื้นที่เพลิงไหม้เป็นพื้นที่อันตราย เพราะกลัวในเรื่องความแข็งแรงของตัวอาคาร ซึ่งต่อมานายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งการให้วิศวกรเข้าสำรวจด้านใน พบว่าโครงสร้างตัวอาคารยังไม่ถูกทำลาย ส่วนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักอยู่ตรงพื้นที่ถูกเพลิงไหม้ โดยเพลิงได้เผาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงจึงเกรงว่าอาจพังถล่มลงมาได้

จุดนี้จึงถูกกันไว้เป็นพื้นที่สีแดงไว้ก่อน!!

ส่วนความเสียหายของห้องพัก พบว่ามีความเสียหายนับร้อยห้อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้อำนวยความสะดวกให้แขกที่เข้าพักทยอยเข้าไปเก็บทรัพย์สินในห้องที่ไม่ได้ถูกเพลิงไหม้ได้แล้วบางส่วน สำหรับขั้นตอนต่อไปทางกทม.จะประสานไปยังสมาคมธุรกิจการโรงแรมแห่งประเทศไทย เพื่อขอความร่วมมือในการตรวจสอบโครงสร้างอาคารของโรงแรมต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ว่ามีความแข็งแรงแค่ไหน รวมถึงระบบป้องกันภัยต่างๆ ทั้งสัญญาณเตือนภัย หัวฉีดสปริงเกลอร์ว่ามีครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่