คดีฆ่าเด็ก 11 ขวบ วิกฤติยุวชนแดนผู้ดี

ความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ เริ่มสร้างความหวาดผวาหนักไปทั่วประเทศ


หลังล่าสุดเกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวยักษ์หัวน้อยเมืองผู้ดี เมื่อ ด.ช.ไรส์ โจนส์ ชาวเมืองลิเวอร์พูล วัย 11 ขวบ ถูกวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ ควักอาวุธปืนยิงถูกบริเวณลำคอเสียชีวิต ขณะหนูน้อยโจนส์กำลังเตะฟุตบอลเล่น ในลานจอดรถของผับย่านคร็อกซ์เท็ธ เมืองลิเวอร์พูล เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ส.ค. ซึ่งตำรวจเมอร์ซีย์ไซด์สามารถจับกุมวัยรุ่นชายต้องสงสัยอายุ 14 และ 18 ปี มาสอบสวน


คดียิงอุกอาจดังกล่าวเดือดร้อนถึงผู้นำประเทศ

เพราะโจนส์ไม่ใช่เหยื่อรายแรก แต่เป็นรายล่าสุดในช่วงที่กระแสแก๊งวัยรุ่นป่วนเมืองใหญ่ในอังกฤษ กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประชาชน นายสตีเฟนและนางเมลานี โจนส์ พ่อแม่ผู้ยังโศกสลดกับการสูญเสียลูกชายแบบไม่ทันตั้งตัว เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามคนร้ายมาลงโทษ และยังตัดพ้อว่า ลูกชายวัยเพียง 11 ขวบ ของพวกเขาช่างโชคร้ายยิ่งนัก ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในอารยประเทศเช่นอังกฤษ!


นายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ออกโรงประณามเหตุดังกล่าว

ว่าเป็น “คดีอาชญากรรมอันหยาบช้าที่ทำให้ชาวอังกฤษทั้งประเทศขวัญผวา” ซึ่งนับตั้งแต่บราวน์ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำอังกฤษเมื่อ 27 มิ.ย. เขาได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความเข้มงวดทางกฎหมายและมาตรการท่ามกลางความสนใจ คดีวัยรุ่นถูกยิงเสียชีวิตในเมืองใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ล่าสุดบราวน์ระดมสมองจัดประชุมหาทางแก้ปัญหา ณ สำนักงานบนถนนดาวนิ่ง


เมื่อ 23 ส.ค. ซึ่งอดีตเจ้าสัวคลังที่ขึ้นรับช่วงผู้นำประเทศ ไม่ถึงปีประกาศจะดำเนินรอยตามอดีตนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ โดยจะเข้มงวดกฎหมายอาวุธปืน รวมทั้งเพิ่มกำลังตำรวจลาดตระเวนตามท้องถนน ขณะที่ นางแจ็กกี สมิธ รมว.มหาดไทย ซึ่งร่วมหารือกับบราวน์ เผยโครงการให้ประชาชนกว่านับพันครัวเรือนร่วมลงนามต่อต้านการก่อเหตุไม่สงบในชุมชนทุกฝ่าย ไม่เฉพาะรัฐบาลต่างเล็งเห็นปัญหานี้ นายเดวิด คาเมรอน ผู้นำพรรคฝ่ายค้านก็ออกโรงกระตุ้นให้ประชาชนพึ่งพาตนเองและชุมชน ในการป้องกันเหตุรุนแรง และอย่าไปตั้งความหวังกับรัฐบาลมาก นายคาเมรอนเสนอ “วิธี 3 มิติ” เน้นการสร้างความแข็งแกร่งในสถาบันครอบครัว ลดขั้นตอนในการทำงานของตำรวจ และให้อำนาจศาลมากขึ้น ซึ่งคาเมรอนยังแนะว่าควรระงับการออกใบอนุญาตขับขี่ แก่เยาวชนผู้กระทำผิดให้เข็ดหลาบ


สถิติคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนในอังกฤษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นับตั้งแต่นายโทนี แบลร์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ทำให้แบลร์กำหนดมาตรการปราบปรามกลุ่มที่มีพฤติกรรม “เกะกะระราน” เช่นการกำหนดโทษจำคุกอย่างน้อย 5 ปี กับผู้มีอาวุธปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง แต่แม้รัฐบาลจะพยายามอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เป็นผลสำหรับวัยรุ่นบางกลุ่มที่มองว่าเป็นความ “เก๋า” และเป็นเกียรติประวัติของพรรคพวกหากได้มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล


คดียิงดับไอ้หนูโจนส์ทำให้บรรดาแก๊งวัยรุ่นและกลุ่มเด็กแร็พกลายเป็นจุดสนใจ


ถูกรุมจีบมาสัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทั้งวัน เพื่อช่วยกันแสดงความเห็นว่า ทำไมแก๊งวัยรุ่นต้องก่อเหตุรุนแรง? ซึ่งได้รับคำตอบหลากหลาย บางกลุ่มโทษการนำเข้าปืนจากสหรัฐฯ รวมทั้งรับอิทธิพลการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นอเมริกัน บ้างก็พุ่งเป้าไปที่การว่างงานสูง การใช้ยาเสพติด และปัญหาครอบครัวแตกแยก


เหตุอาชญากรรมในหมู่วัยรุ่นเมืองผู้ดีมักเกิดขึ้นในย่านเงียบสงัด

เขตอิทธิพลของแก๊งวัยรุ่นที่มีอัตราการว่างงานสูง ปีนี้เฉพาะในกรุงลอนดอนมีวัยรุ่นตกเป็นเหยื่อสังหารโหดแล้ว 18 ราย ในจำนวนนั้นถูกแทง 11 ราย และถูกยิง 7 ราย ส่วนภาครัฐระบุในรอบ 5 ปีนี้ มีสถิติเยาวชนต้องคดีเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 แม้คดีจากอาวุธปืนทั้งหมดจะเป็นเพียงจำนวนน้อยนิด เมื่อเทียบกับสถิติคดีอาชญากรรมโดยรวม


ทุกวันนี้ความรุนแรงอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาควบคู่กับวิถีชีวิตเด็กวัยรุ่น
 
ที่เติบโตในเมืองใหญ่ของอังกฤษ ที่บางทีถึงกับพกมีดพกปืนกันแล้ว ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงมหาดไทยเผยเมืองใหญ่ อย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่หาซื้ออาวุธปืนเถื่อนได้ง่ายที่สุด ขายกันตามท้องถนนราคาเพียงกระบอกละ 50 ปอนด์ หรือ ราว 3,400 บาท ผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์ ได้อย่างน่าสนใจว่าสมัยนี้วัยรุ่นเริ่มไม่รู้สึกรู้สาต่อความรุนแรงสักเท่าไหร่ แถมมองว่าการใช้มีดและปืนเป็นทางออกแก้สถานการณ์ที่ยากลำบาก นายแอนโธนี สตีเวนส์ อดีตที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยชุมชนแห่งสหภาพยุโรป ยังระบุวัยรุ่นสมัยนี้มีค่านิยมว่าการได้ร่วมแก๊งอันธพาลเป็นเรื่องเท่ น่าตื่นเต้น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดๆ ของผู้ยังไม่บรรลุภาวะความเป็นผู้ใหญ่


หากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนนับเป็นเรื่องที่ดี

เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน เจ้าหน้าที่ไปจนถึงภาครัฐ ร่วมกันป้องกันและปราบปรามไม่ให้เกิดเรื่องเศร้า อีกทั้งต้องไม่ลืมการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ คือการเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมผิดๆวัยรุ่น ที่แม้จะใช้เวลานาน และอยู่ในสภาพสังคมใหญ่ที่เติบโต แต่หากท้ายสุดทำให้ปัญหาคลี่คลายได้ ก็น่าจะดีใจ ที่ไม่มีผู้บริสุทธิ์คนใดตกเป็นเหยื่ออีก.


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์