มือปืนบุกกระหนํ่ายิง คาวงรัมมี่ ฆ่าจ่าทหารข่าวกรอง

บุกจ่อฆ่า"จ.ส.อ."หน่วยข่าวกรองทหาร ดับสยองคาวงรัมมี่บ้านพักกลางเมืองหนองคาย เผยทำงานสนับสนุนกองกำลังค่ายสุรศักดิ์มนตรี ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา เมืองอุดร รับผิดชอบพื้นที่ 6 จังหวัด ตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาฝังตัวอยู่หนองคายร่วม 2 ปี ก่อนนี้เคยบ่นกับเมียงานเสี่ยงอันตราย ต้องพกปืนติดตัวตลอด เมียเคยขอร้องให้เลิกมาช่วยค้าขายก่อนจะมาถูกยิง ตร.ตั้งปมชู้สาว-เรื่องส่วนตัว-การพนัน หรือไม่ก็เรื่องงานที่ทำให้คนอื่นเสียผลประโยชน์

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของชำ

ถัดจากหน้าบ้านประมาณ 20 เมตรเป็นห้องรับแขก พบศพจ.ส.อ.พรพิทักษ์ ประทุม อายุ 38 ปี ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร สนับสนุนกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา อ.เมือง จ.อุดรธานี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว สวมกางเกงกีฬาขาสั้นสีกรมท่า ไม่สวมเสื้อ มีโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย รุ่น 6300 เหน็บขอบกางเกง สภาพศพนอนคว่ำหน้า เลือดไหลนองเต็มพื้นบ้าน

ตรวจสภาพศพเบื้องต้นพบว่า ถูกยิงเข้าแผ่นหลัง 3 นัด

ทะลุหัวไหล่ขวา 1 นัด ทะลุใต้ชายโครงขวา 1 นัด กระสุนฝังหน้าท้องเยื้องด้านซ้าย 1 นัด และท้ายทอยทะลุหน้าผาก 1 นัด ใกล้ศพพบหัวกระสุนปืนขนาด .38 ตกอยู่ที่พื้น 2 หัว บริเวณโซฟาตัวที่ผู้ตายนั่ง มีกระเป๋าถือสีน้ำเงินวางอยู่ ภายในมีปืนพกสั้นซีแซดขนาด 9 ม.ม. 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนเต็มแม็กกาซีน โดยถอดแม็กกาซีนออกจากตัวกระบอกปืน ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อ นางบานชื่น เข็มเพชร อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 308 16 ต.ในเมือง อ.เมืองหนองคาย ถูกลูกหลงจากกระสุนปืนนัดที่ยิงท้ายทอยทะลุหน้าผากผู้ตาย พุ่งแฉลบหน้าผากขวาฝังทัดดอกไม้อาการสาหัส หน่วยกู้ภัยประจักษ์รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลหนองคาย แพทย์รักษาจนอาการปลอดภัย

ก่อนเกิดเหตุสามีชวนเพื่อนมาเล่นไพ่ ตั้งแต่ช่วงประมาณ 20.00 น.มีนางบานชื่น นายไทย นายเสือ ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง นั่งบนโซฟาล้อมวงเล่นไพ่รัมมี่ โดยสามีนั่งหันหลังให้ประตูห้องรับแขกและแง้มประตูห้องรับแขกไว้เล็กน้อย ส่วนตนขึ้นไปบนบ้าน ให้ลูกสาวเฝ้าหน้าบ้าน จนได้ยินเสียงลูกสาวร้องว่าพ่อถูกยิง จึงวิ่งลงมาดูพบสามีเสียชีวิตแล้ว เห็นนางบานชื่นถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ตกใจวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ตนจึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

ด้านด.ญ.ลลิตา มินเทน อายุ 11 ปี ลูกสาวนางดวงเนตร ให้การว่า

ก่อนเกิดเหตุนั่งเฝ้าหน้าร้านอยู่ลำพัง มีผู้ชาย 2 คน สวมเสื้อแจ๊กเกตสีดำ สวมหมวกกันน็อก สูงประมาณ 170 ซ.ม. รูปร่างสันทัด ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า มีโอ สีเลือดหมู ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน มาจอดหน้าร้านโดยไม่ลงจากรถแล้วขับรถออกไป ประมาณ 5 นาที ทั้งสองคนขี่รถมาใหม่แล้วจอดหน้าบ้าน ชายคนหนึ่งเดินลงจากรถเข้ามาในบ้านตรงไปยังห้องรับแขก ส่วนอีกคนสตาร์ตเครื่องรออยู่ ตนคิดว่าเป็นเพื่อนของพ่อเลี้ยงจึงไม่ได้สนใจ จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด แล้วชายคนดังกล่าวรีบวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ขี่ออกไป

พ.ต.อ.วุฒิ เปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นทหารหน่วยข่าวกรองปฏิบัติราชการพิเศษ

พื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรศักดิ์มนตรีรับผิดชอบ 6 จังหวัด โดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาฝังตัวในจ.หนองคายนานประมาณ 2 ปีแล้ว จนมารู้จักกับนางดวงเนตร และเพิ่งแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาได้เพียงปีกว่า ผู้ตายเคยบ่นให้ภรรยาฟังว่างานที่ทำอยู่เสี่ยงอันตราย ผู้ตายจึงพกปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุติดตัวตลอดเวลา และก่อนหน้านี้ภรรยาเคยบอกให้ลาออกมาช่วยค้าขาย ส่วนสาเหตุการสังหารเจ้าหน้าที่ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือหน้าที่การงานของผู้ตายที่ปฏิบัติงานหรือรายงานข่าว จนสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มที่เสียผลประโยชน์ตามแนวชายแดนหรือชู้สาว เนื่องจากผู้ตายหน้าตาดี เคยมีภรรยามาแล้ว 3 คน แต่เลิกรากันจนมาแต่งงานใหม่ที่จ.หนองคาย จะได้ติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ปราโมทย์ เอี่ยมทัศน์ ผบก.ภ.จว.หนองคาย กล่าวว่า

ได้รับการประสานจากฝ่ายทหารในเรื่องรูปคดีและข้อมูลเบื้องต้นโดยทั้งตำรวจและทหารได้ทำงานร่วมกัน รวมทั้งตำรวจภูธรภาค 4 ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจากศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 โดย พ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.ศสส.ภาค 4 ลงมาสืบหาข่าวคลี่คลายคดี โดยผู้บังคับบัญชากำชับเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญโดยสั่งให้เร่งรัดหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว

พล.ต.ต.ปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า รูปคดีตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

แต่เจ้าหน้าที่พอจะรู้ตัวคนร้ายแล้วว่าเป็นกลุ่มไหน อาจจะเกี่ยวข้องขบวนการลักลอบกระทำความผิดตามแนวชายแดนหรือผู้มีอิทธิพล แต่ยังไม่ทิ้งประเด็นเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชู้สาวและหนี้พนัน ซึ่งโดยลักษณะนิสัยของผู้ตายเป็นคนหน้าตาดีมีเมียหลายคน ประกอบกับเป็นคนใจนักเลงพูดจาโผงผาง ชอบเล่นการพนัน เจ้าหนี้พนันอาจจะส่งมือปืนมาฆ่าล้างหนี้ก็อาจเป็นได้ แต่เชื่อมั่นว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เดินมาถูกทางแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับชนวนสังหาร แต่เพื่อไม่เป็นการประมาท สั่งการให้จัดเวรยามเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การอารักขาตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันคนร้ายย้อนกลับมาทำร้าย