ศาลไม่ให้ประกัน “จุฑามาศ” อดีตผู้ว่า ททท. พร้อมลูกสาว คดีรับสินบน คอตกนอนคุก

ศาลไม่ให้ประกัน “จุฑามาศ” อดีตผู้ว่า ททท. พร้อมลูกสาว คดีรับสินบน คอตกนอนคุก

เมื่อเวลา 9.30 น.วันที่ 29 มีนาคม ที่ห้องพิจารณา 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท.46/2559 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 70 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 43 ปี บุตรสาว ร่วมกันเป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6,11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ม.12

 

โดยคดีนี้อัยการโจทก์ฟ้อง ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 11 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 แล้ว

 

นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ บุตรสาว พร้อมทนายความเดินทางมาศาล องค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่
โดยศาลเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การจัดจ้างโครงการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ มีการกำหนดเงื่อนไขโดยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษ ไม่เหมาะสมหลายประการ

 

เช่น เอกสารประกอบการจ้างไม่สมบูรณ์การปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2538 โดยเฉพาะโครงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2546 ไม่เป็นการจ้างบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ที่เคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถผลงานมาแล้ว และไม่มีคู่แข่งขันรายงาน อันมีลักษณะเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นและเอื้ออำนวยแก่บริษัทของนาย เจอรัลด์ กรีน และนาง แพทริเซีย กรีน ซึ่งมีการคบคิด ตกลงวางแผน กันล่วงหน้า ระหว่างจำเลยที่ 1 กับ นาย เจอรัลด์ กรีน โดยใช้บริษัทต่างๆ ที่นาย เจอรัลด์ กรีน และนางแพทริเซีย กรีน จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นคู่สัญญาเพียง 3 บริษัท รับสัญญาจ้าง อันมีลักษณะเป็นช่องทางเพื่อให้ได้รับสัญญาจ้างและสัญญาจ้างช่วง เพื่อจัดหาสินค้าและให้บริการแก่ ททท.

 

วิธีการดังกล่าวแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 แนะนำให้ เจอรัลด์ กรีนและ นางแพทริเซีย กรีน จัดตั้งบริษัทเข้ามาเป็นคู่สัญญา กับ ททท. รวมถึงบุคคลธรรมดาที่ร่วมทำงานกับธุรกิจกรีน เกี่ยวกับโครงการภาพยนตร์นานาชาติ กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกรับเงินสินบน จากนายเจอรัลด์ กรีน และนาง แพทริเซีย กรีน โดยได้โอนเงินไปยังน.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 และเพื่อน จำนวน 59 รายการ เป็นเงินจำนวน 1,822,294 เหรียญสหรัฐ พยานหลักฐานในคดีนี้ จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สิน หรือจะยอมรับทรัพย์สิน เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ และยังเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ททท.และบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจการ์ด จำกัด ทั้งเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อตนเอง กับ นาย เจอรัลด์ กรีน และ นาง แพทริเซีย กรีนกับพวก ซึ่งเป็นงบประมาณของรัฐตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 ,12

 

ที่นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ฐานะผู้ว่าฯ ททท.และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดจ้างโครงการภาพยนตร์นานาชาติ และ บริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจการ์ด จำกัด และข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าเงินในบัญชีธนาคารจำนวน 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัวกับ นาย เจอรัลด์ กรีนและบริษัทคอนซัลเทเซีย จำกัด โดยไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้นฟังไม่ขึ้น

 

ส่วนศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ริบทรัพย์จากการกระทำผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่นั้น ในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เงินจำนวน 1,822,494 เหรียญสหรัฐ ปรากฏอยู่ในบัญชีเงินฝากต่างๆ ของ น.ส.จิตติโสภา จำนวนเลยที่ 2 ที่ธนาคารในต่างประเทศและที่อื่นๆ โดยมีจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดทรัพย์สินดังกล่าวจึงได้มาจากการกระทำความผิด แม้โจทก์จะไม่ได้มีคำขอให้ริบเงินจำนวนนั้น แต่พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ได้บัญญัติให้ศาลใช้ดุลยพินิจ ในการริบทรัพย์สินที่บุคคลได้มา โดยการกระทำความผิดได้

 

การที่ นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ นายเจอรัลด์และนางแพทริเซียมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 กำหนดโครงการต่างๆ ขึ้น บุคคลทั้งสองและจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ร่วมกันทุจริต และแสวงหาประโยชน์จากโครงการที่ร่วมกันกำหนดขึ้นการทำสัญญาทุกขึ้นตอนอำพรางขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาที่ผู้รับจ้างไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีประสบการณ์และไม่มีคุณสมบัติ สัญญาดังกล่าวข้างต้นขัดต่อข้อบังคับของททท.ว่าด้วยการพัสดุ พฤติการณ์เป็นการทุจริตร่วมกันตั้งแต่ชั้นเริ่มทำสัญญา ประกอบกับต่อมาเมื่อ ททท. จ่ายเงินให้แก่กลุ่มบริษัท ธุรกิจกรีนแล้ว นาย เจอรัลด์และ นางแพทริเซีย ได้โอนเงินและสั่งจ่ายเช็ค เข้าบัญชีธนาคารในต่างประเทศ ที่จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีไว้ สัญญาที่เกิดขึ้นจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

นอกจากนี้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ยังได้กำหนดมาตรการริบทรัพย์สินตามมูลค่าในมาตรา 33 ไว้และเนื่องจากเงินที่ศาลสั่งริบ จำนวนดังกล่าว รวมดอกเบี้ย ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ฝากอยู่ในธนาคารต่างประเทศ กรณีมีเหตุสมควรที่จะกำหนดมูลค่าของเงินดังกล่าวไปอีกทางหนึ่งด้วย อาศัยอำนาจตาม มาตรา 33 วรรคหนึ่ง ให้กำหนดมูลค่าของสิ่งที่ศาลสั่งริบอันเป็นมาตราทางอาญา เป็นเงิน 62,724,776 บาท

 

พิพากษาว่า นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 และ น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 มีความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท รวม 11 กระทง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การฯ ตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก จำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 66 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงคงจำคุกไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี และริบเงินจำนวน 1,822,494 เหรียญสหรัฐ และดอกผลที่เกิดขึ้น ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลให้กำหนดมูลค่าสิ่งที่สั่งริบดังกล่าว ตามมาตรการสำหรับคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ เพิ่มขึ้นอีกมาตรการหนึ่ง เป็นเงินจำนวน 62,724,776 บาท

 

ซึ่งภายหลังฟังคำพิพากษา นางจุฑามาศ และบุตรสาวยังมีสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่ทนายความจำเลยทั้ง 2 กำลังยื่นประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

 

ต่อมาเมื่อเวลา 17.56 น. เจ้าหน้าที่นำตัวทั้งคู่ส่งฑัณสถานกลาง หลังจากยังไม่มีคำสั่งให้ประกัน

Cr:: khaosod.co.th


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์