ชนท้ายปล้นอุกอาจ ชิงเบนซ์ ทุบน่วมเถ้าแก่เนี้ย

เหตุคนร้ายปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์


เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 8 ส.ค. ร.ต.ต.สิทธิโรจน์ นวลเปียน พงส. (สบ 1) สน.สุวินทวงศ์ รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์ ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเยื้องสนามกอล์ฟเพรสซิเดนท์ ถนนสุวินทวงศ์ขาออก มุ่งหน้า จ.ฉะเชิงเทรา แขวงกระทุ่มลาย เขตหนองจอก กทม. จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมชาติ มาสำราญ รอง ผบก.น. 3 และกำลังสายตรวจจำนวนหนึ่งเดินทางไปตรวจสอบ

พบผู้เสียหายชื่อ น.ส.อรพินท์ เสริมประภาศิลป์ อายุ 50 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 65 หมู่บ้านมัณฑนา ซอยรามอินทรา 109 แขวงและเขตคันนายาว กทม. มีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริษัทเอสพีเอส อินเตอร์เท็กซ์ จำกัด ผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกต่างประเทศรายใหญ่ ตั้งอยู่เลขที่ 99 หมู่ 2 ถนนสุวินทวงศ์ ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา อยู่ในสภาพถูกทำร้ายสะบักสะบอม หน้าตาบวมปูด ศีรษะแตกเลือดกบปาก ให้การว่าถูกคนร้ายรุมชกต่อย แล้วเชิดรถเบนซ์หลบหนีไป


สาวใหญ่เหยื่อโจรลำดับเหตุการณ์ว่า

ก่อนเกิดเหตุขับรถเบนซ์ รุ่นอี 220 ซีดีไอ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ศท 3721 กรุงเทพมหานคร ออกจากบ้านย่านรามอินทราไปตามถนนสุวินทวงศ์มุ่งหน้าไปบริษัทเอสพีเอสฯ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุได้มีรถกระบะแค็บ สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ในรถมีชายฉกรรจ์รวมทั้งหมด 4 คน ขับตามหลังมา จากนั้นพุ่งชนท้าย เมื่อตนจอดรถลงไปดูร่องรอยเฉี่ยวชน ปรากฏว่ามีชาย 2 คนลงจากรถกระบะทำทีมาเจรจา เสร็จแล้วคนหนึ่งได้ตรงเข้าล็อกคอ จากด้านหลัง อีกคนคว้าก้อนหินข้างทางมาทุบศีรษะและใบหน้า ก่อนจะฉุดกระชากลากลงป่าหญ้าข้างทางไม่ให้รถที่ผ่านไปมาสังเกตเห็นชกต่อยจนจุก แล้วพากันวิ่งขึ้นรถเบนซ์ของตน

ซึ่งคนร้ายอีกคนขึ้นไปนั่งรอขับหลบหนีออกไปมุ่งหน้าถนนสุวินทวงศ์ขาออก

โดยมีรถกระบะของคนร้ายขับตามไปพร้อมกัน เมื่อทราบรายละเอียดเจ้าหน้าที่ได้แจ้งวิทยุสกัดจับตามพื้นที่ใกล้เคียงและเส้นทางติดต่อ พร้อมนำร่างผู้เสียหายส่ง รพ.ฉะเชิงเทรา

ต่อมา ร.ต.อ.สุรชัย สีมุเทศ รอง สว.จร.สน.ลาดกระบัง ตั้งด่านสกัดบริเวณแยกมอเตอร์เวย์ตัดถนนร่มเกล้า แขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง พบรถเบนซ์คันดังกล่าววิ่งมาตามถนนร่มเกล้าด้วยความเร็วสูง จึงเรียกให้หยุด แต่คนร้ายไม่สนใจ เร่งเครื่องหนีเข้าถนนมอเตอร์เวย์มุ่งหน้า จ.ชลบุรี อย่างเร็วรวด ร.ต.อ.สุรชัยตัดสินใจใช้ปืนก๊อก 9 มม. ยิงใส่ล้อรถ กระสุนถูกยางล้อหน้าซ้ายแตก แต่คนร้าย ไม่ยอมหยุดรถโดยดี ยังฝืนขับหลบหนีต่อไป

แม้ ร.ต.อ. สุรชัยกับพวกจะขี่รถ จยย.สายตรวจไล่กวดติดตาม แต่ก็ไม่ทัน

จึงวิทยุประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงประจำด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ทับช้างดักสกัดจับ แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนร้ายเช่นกัน กระทั่งได้รับแจ้งจากสายตรวจ สน.จระเข้น้อย พบรถเบนซ์ต้องสงสัยจอดติดเครื่องยนต์อยู่ข้างทางตรงข้ามกับสวนงู ถนนหลวงแพ่ง แขวงทับเจริญ เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นถนนที่แยกออกจากด่วนมอเตอร์เวย์ ก่อนถึงด่านเก็บเงินทับช้างเล็กน้อย จึงนำกำลังไปตรวจสอบ แล้วรายงานให้ พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร ผบก.น.3 และพนักงานสอบสวน สน.สุวินทวงศ์ให้ทราบ จากการตรวจสอบพบว่าตัวถังรถด้านขวามีรอยกระสุนปืนทะลุ 1 รู ยางล้อหน้าซ้ายแตกระเบิดทั้งเส้น เหลือแต่กระทะล้อ


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายตามประตูและพวงมาลัยรถไปตรวจสอบ

ส่วนภายในรถเบนซ์บนเบาะนั่งข้างคนขับพบคราบเลือดเปรอะเปื้อนคล้ายกับใช้มือเช็ด ส่วนทรัพย์สินมีค่าต่างๆยังอยู่ครบ ทั้งกระเป๋าสะพายสีดำของผู้เสียหาย โทรศัพท์ มือถือ กระเป๋าสตางค์ข้างในมีบัตรเครดิต และเครื่องประดับเพชร อาทิ ตุ้มหู สร้อยข้อมือ สร้อยคอมูลค่านับแสนบาท ซ่อนอยู่ แต่คนร้ายไม่สนใจ ล้วงเอาไปเฉพาะเงินสด 27,000 บาทเท่านั้น


ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยานที่เห็นคนร้ายขับรถเบนซ์ไปจอดทิ้งก่อนหลบหนี


ซึ่งมีทั้งหมด 3 คน อายุประมาณ 30 ปี คนแรกสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำตาล ส่วนอีกสองคนสวมเสื้อยืดสีขาว วิ่งลงจากรถแล้วเรียกรถแท็กซี่ สีส้ม ทะเบียน ทย 8448 กรุงเทพมหานคร หลบหนี เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบรถแท็กซี่คันดังกล่าว เพื่อหาเบาะแสของคนร้ายต่อไป ต่อมานายวีรศักดิ์ เสริมประภาศิลป์ อายุ 48 ปี ผจก.บริษัทเอสพีเอสฯ น้องชาย น.ส.อรพินท์ ทราบข่าวเดินทางไปตรวจดูรถ พร้อมเปิดเผยอาการพี่สาวว่า ได้รับบาดเจ็บตามใบหน้าและปาก ภายหลังรักษาเบื้องต้นที่ รพ.ฉะเชิงเทราแล้ว ได้ย้ายไปรักษาตัวที่ รพ.พระรามเก้า กรุงเทพฯ

โดยพี่สาวเล่าให้ฟังว่าคนร้ายโหดเหี้ยมมาก

ทั้งชกทั้งทุบที่ใบหน้าจนต้องแกล้งสลบเพื่อให้รอดจากความป่าเถื่อน เมื่อคนร้ายหลบหนีไปแล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ผ่านไปมา ทั้งนี้ น.ส.อรพินท์ นอกจากเป็นรองประธานกรรมการบริษัทเอสพีเอสฯแล้ว ยังเป็นรองประธานกรรมการบริษัทในเครือ ส.ประภาศิลป์กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทในเครือทั้งสิ้น 4 บริษัท ที่ผ่านมาพี่สาว เคยเป็นอดีตประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนสาเหตุยังไม่แน่ใจว่าจะมาจากเรื่องไล่คนงานออกหรือไม่ เพราะบริษัทมีคนงานประมาณ 2 พันกว่าคน ปัญหาเรื่องไล่พนักงานออกก็มีบ้าง แต่เชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะรู้และติดตามความเคลื่อนไหวของพี่สาวมาเป็นอย่างดี เพราะทุกวันจะขับรถเบนซ์คันนี้ออกจากบ้านคนเดียวตามเส้นทางดังกล่าวเป็นประจำ


ด้าน พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รอง ผบช.น. กล่าวว่า

คนร้ายมีเจตนาชัดเจนที่จะชนท้ายรถเบนซ์ของผู้เสียหายเพื่อลงมือ เมื่อเหยื่อจอดรถลงไปดู ก็จะทำร้าย ซึ่งหน้า เหตุลักษณะนี้กำลังเกิดขึ้นมาก ที่ผ่านมา เคยเกิดคดีลักษณะเช่นนี้ โดยคนร้ายใช้ปืนยิงเจ้าของรถที่ลงไปดูร่องรอยเฉี่ยวชน จึงอยากให้เจ้าของรถเพิ่มความระมัดระวัง ส่วนที่ รพ.พระรามเก้า รถพยาบาลจาก รพ.ฉะเชิงเทราได้นำร่างคนเจ็บมาถึงเมื่อเวลา 12.30 น. จากนั้นนำเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อตรวจอาการโดยละเอียด พบว่าท้ายทอยบวมปูด ใบหน้าฟกช้ำ ปากแตก แพทย์ตรวจอาการเบื้องต้นแล้วรับตัวไว้รักษา เพื่อรอเอกซเรย์สมองและตรวจอาการข้างเคียง ในขณะที่ญาติซึ่งติดตามไปเฝ้าดูอาการบอกเพียงว่า น.ส.อรพินท์อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว และเรื่องนี้เป็นการชิงทรัพย์ธรรมดา ไม่ต้อง การให้เป็นข่าว

เกรงว่าคนร้ายรู้ตัวแล้วจะหลบหนี อยากให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ

หากจับกุมตัวคนร้ายได้จะมอบเงิน ให้ 1 แสนบาทเป็นรางวัล ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปทางนายสมนึก ทักษิณ ประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับการเปิดเผยว่า เท่าที่เคยร่วมงานกับ น.ส.อรพินท์ เมื่อครั้งมีตำแหน่งเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ถือเป็นคนเก่งตั้งใจทำงานมาก และไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งกับใคร ภายหลังพ้นจากตำแหน่งแล้ว ทราบว่า น.ส. อรพินท์ไปบริหารธุรกิจของตัวเองที่บริษัท ส.ประภาศิลป์ อย่างเต็มตัว แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เป็นประจำ ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่ตัวเองเป็นประธานหอการค้าจังหวัด ก็ได้พูดคุยสอบถามในเรื่องของสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับค่าเงินบาทแข็งตัว ทาง น.ส.อรพินท์บอกว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับบริษัท และพนักงานทุกคนก็ยังคงทำงานกันตามปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมั่นใจว่าไม่น่าจะมาจากเรื่องของธุรกิจอย่างแน่นอน


เย็นวันเดียวกัน พ.ต.ท.อธิสรรค์ พืชจันทร์โสภณ สว.สส. สน.สุวินทวงศ์ เปิดเผยว่า

ตอนนี้กำลังเร่งหาพยานคนขับรถแท็กซี่ที่รับตัวคนร้าย ซึ่งตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่พบตัว อย่างไรก็ตาม ได้พยานที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเข้าช่วยเหลือคนเจ็บ มีบ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ และ จยย.รับจ้าง ซึ่งทั้งหมดให้การสอดคล้องกันว่าไม่เห็นรถกระบะขับตามหลังมาชนท้าย ขณะที่พยานซึ่งขับรถตามหลังมาและเข้าช่วยเหลือ พบผู้เสียหายถูกทำร้ายที่ใบหน้า ร้องบอกว่าคนร้ายชิงทรัพย์ๆ จึงพาไปแจ้งตำรวจ จากการสอบพยานแวดล้อมทั้ง 3 ปาก ระบุตรงกันว่าไม่เห็นช่วงที่ผู้เสียหายถูกชนและรุมทำร้าย ทำให้มีเงื่อนงำ เนื่องจากคนร้ายไม่ได้นำทรัพย์สินภายในรถติดมือไปด้วย ดังนั้นต้องรอสอบสวนผู้เสียหายให้ชัดเจนอีกครั้ง ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรกันแน่


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์