เจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ สหรัฐฯ เข้าร่วมศึกษาคดีน้องการ์ตูน -

เจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ สหรัฐฯ เข้าร่วมศึกษาคดีน้องการ์ตูน -



เจ้าหน้าที่ "เอฟบีไอ" สหรัฐฯ เข้าร่วมศึกษาคดีน้องการ์ตูน - วิเคราะห์ฆาตกรต่อเนื่องกับเหยื่อที่เป็นเด็ก

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 9 เมษายน ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณะเกษม ผกก.3 บกป. พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.ปพ.บก.ป. พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป. พ.ต.ท.บุรินทร์ ยมจินดา สว.กก.4 บก.ป. ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รอง สว.กก.ปพ.บก.ป.พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานสอบสวนกลาง สหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) 2 นาย เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.ชัยยง กีรติขจร ผู้ช่วย ผบ.ตร.เพื่อประสานการปฎิบัติการเกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ของคนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ซึ่งผู้ต้องหามีพฤติการณ์ก่อเหตุกับเหยื่อที่เป็นเด็กหลายรายในหลายพื้นที่ และหารือถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวนคดี

สำหรับการประสานงานในการปฏิบัติการดังกล่าว เป็นไปตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มอบหมายให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ร่วมกับทางเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ สหรัฐฯ หยิบยกคดีนายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ไม่ทราบนามสกุล อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาคดีฆ่า ด.ญ.อธิตยา เพชรดอน หรือน้องการ์ตูน อายุ 6 ปี เหตุเกิดที่บริเวณพงหญ้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่ง ท้องที่ สน.บางนา ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อเหตุกับเหยื่อที่เป็นเด็กอีกหลายราย มาเป็นกรณีศึกษา เพื่อแสวงหาแนวทางป้องกันมิให้เกิดเหตุลักษณะนี้ โดยถือเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน

ทั้งนี้ ในส่วนของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ สหรัฐฯ นั้น รายแรก มาจากหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเด็ก โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำคดีที่มีเด็กตกเป็นเหยื่อมาเป็นเวลาถึง 16 ปี มีประสบการณ์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น คดีลักพาตัวเด็กในประเทศทาจิกิสถาน และประเทศบราซิล ส่วนเจ้าหน้าที่เอฟบิไอ อีกราย มาจากหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านจิตวิทยา รวมถึงวิเคราะห์ความคิดของผู้ต้องหาที่ก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงกับเด็ก โดยมีประสบการณ์การทำงานกว่า 23 ปี ซึ่งประเทศสหรัฐฯ มีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เพียง 6 นาย เท่านั้น

อย่างไรก็ดี สำหรับความร่วมมือในปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่สังคมไทยจะได้รับประโยชน์จากการใช้แนวทางการสืบสวนสมัยใหม่อาศัยหลักวิชาการ และเปิดกว้างให้ตำรวจได้ยอมรับและปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทำงานให้เป็นสากล นำไปสู่การค้นพบความจริงของคดีในทุกมิติ มีมุมมองการทำงานที่ไม่ยึดเพียงการใช้กำลัง ใช้อาวุธ ในการจับกุมผู้ต้องหา ลดปัญหาการจับกุมคนร้ายผิดตัว ไม่เป็นมรดกบาปที่จะเกิดขึ้นกับวงการตำรวจไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ผบช.ก.ยังเล็งเห็นว่าการทำงานของตำรวจไทย ยังขาดความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง เช่น การสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง จึงมีแนวความคิดที่จะประสานกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยเอฟบีไอ เพื่อร่วมเรียนรู้แลกเปลี่ยนการทำงานร่วมกัน จาการปฏิบัติ จริง โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับความรู้ ก็สามารถขยายผลเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวต่อไป ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของวงการตำรวจไทย หากจะเปรียบเป็นคลื่นก็นับว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ เป็นต้นแบบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการสืบสวน ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวิชาตำรวจสมัยใหม่ สามารถทำงานได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ปรากฎตัวต่อสื่อมวลชน ดังเช่นตำรวจยุคเก่า

พ.ต.ท.ทรงรักษ์ กล่าวว่า สิ่งแรกที่คณะทำงานของ บก.ป.จะได้ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่เอฟบิไอ ครั้งนี้ คือ รูปแบบการทำงานจะเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทางต่างประเทศ ในคดีที่เป็นกรณีศึกษา หลังจากจับกุมผู้ต้องหา ก็มักจะคิดว่าคดีมันจบไปแล้ว แต่ยังมีความจริงด้านอื่นๆ หรือมันมีความผิดอย่างอื่น มีสิ่งบ่งชี้อย่างอื่นอีก หรือแม้กระทั่งเทคนิคในการซักผู้ต้องหา เข้าไปพูดคุยกับผู้กระทำความผิด ในต่างประเทศ เขาจะมีเทคนิคต่างๆ เช่น การกระตุ้นอารมณ์ เหล่านี้ส่วนหนึ่ง

ส่วนที่ 2 คือ การนำองค์ความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ตำรวจ เข้ามาจับมาใช้ในการสืบสวน มีเรื่องของหลักการวิเคราะห์พฤติกรรม เราจะวิเคราะห์อย่างไร เจอคนร้ายประเภทนี้ในอนาคตเราจะทำอย่างไรให้การสืบสวนมาทำให้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคต หรือแม้กระทั่งองค์รวมในการป้องกันอาชญากรรม ระงับยับยั้งบุคคลเหล่านี้ที่มีแนวโน้มจะกระทำความผิดจะต้องทำบัญชีการเฝ้าระวัง หรือจะเข้าไปตรวจสอบเขาอย่างไร ในสหรัฐฯ มีการดำเนินการ มีการวิเคราะห์เรื่องภาวะทางอารมณ์ แรงกระตุ้น แรงจูงใจ จะต้องมีกฎหมายพิเศษบังคับคนกลุ่มนี้หรือไม่ว่า ต้องห้ามเข้าใกล้เด็กในระยะกี่กิโลเมตร ห้ามเข้าใกล้โรงเรียน ฯลฯ เหล่านี้คือการดำเนินการก่อนเกิดเหตุหรือเป็นการป้องกันเหตุ

พ.ต.ท.ทรงรักษ์ กล่าวอีกว่า ต้องทบทวนสิ่งผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ซึ่งดำเนินการ หรือยังไม่ได้ดำเนินการในส่วนใด มีสิ่งใดเป็นการทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กรณีของนายหนุ่ย ถือเป็นกรณีศึกษาที่สมบูรณ์ในทางคดี ตำรวจสามารถเข้ามาเรียนรู้การสืบสวนของตำรวจสมัยใหม่ได้อย่างถูกต้อง อันดับแรก คือ การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบเดิมๆ การซักถามผู้ต้องหาตั้งแต่การเข้าที่เกิดเหตุ ตั้งแต่การให้สัมภาษณ์สื่อ ว่าการให้สัมภาษณ์แต่ละเรื่องมันจะกระทบต่อจิตวิทยาผู้กระทำผิด จะเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบ้าง เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันใหม่ทั้งหมด

“คดีนี้จริงๆ ก็ใช้วิธีการสืบสวนปกติ แต่ถ้าในวงการตำรวจโลก คดีที่มันไม่ปกติหรือผู้ต้องหามีความผิดปกติทางจิตมันต้องใช้เทคนิคอื่น วิธีการอื่น ในการสืบสวน เพื่อให้จับกุมคนร้ายได้เร็วขึ้น การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์พฤติกรรม และการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างถูกต้อง ต้องมีการเรียนรู้ แม้แต่ลายมือของผู้ต้องหา หรือแม้แต่การกระทำการ การวางตัวในตำแหน่งใน เป็นการเรียนรู้ถึงพฤติกรรม ทำไมเขาจึงคิดว่าถ้าทำแบบนี้ถึงจะปลอดจากการสงสัยของผู้อื่น” รอง ผกก.6 บก.ป.กล่าว

พ.ต.ท.ทรงรักษ์ กล่าวต่อว่า เหล่านี้คือศาสตร์ที่เราต้องเข้าไปเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วิธีคิดว่า เราจะจินตนาการเอาเองไม่ได้ ต้องคิดจากหลักวิชา ที่มีผลการวิจัยออกมามีฐานข้อมูล และต้องรีบทำ เพราะหากช้าไป ในอนาคตอาจมีเด็กที่ต้องตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้น เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เราได้พูดคุยกัน รวมทั้งมีการวางแผน อาจจะได้กลับเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม โดยทางเอฟบีไอ เขาก็ขอข้อมูลเพิ่ม เกี่ยวกับภาพถ่าย ผลตรวจ ฯลฯ เพราะเขาต้องการวิเคราะห์ตามกระบวนการ จากนี้เราสามารถเปรียบเทียบกับในอนาคตว่าหากมีกรณีเช่นนี้อีกเราทำอย่างไรเราจะจับคนร้ายได้รวดเร็วและดำเนินการอย่างถูกต้อง 

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์