“พุทธอิสระ” สั่งถางหญ้าให้เตียนหวั่นโดนซุ่มยิง

หลวงปู่พุทธะอิสระสั่งการให้ทีมการ์ดถางป่าร้างข้างพื้นที่ชุมนุม ปิดช่องซุ่มยิง ยันไม่แจ้งความเหตุถูกเอ็ม 79 ถล่ม แถมไม่อนุญาตอีโอดีเข้าตรวจหวั่นบิดเบือน เชื่อแค่ทดสอบวิถีกระสุน ระบุกล้องจับภาพ 3 ไอ้โม่งต้องสงสัยได้

เมื่อวันที่ 7ก.พ. ที่เวทีกปปส.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวถึงเหตุการณ์เวทีชุมนุมถูกลอบยิงระเบิดเอ็ม 79

เมื่อช่วงค่ำวานนี้ว่า เบื้องต้นได้รับการประสานจากหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของตำรวจว่าจะเข้ามา ตรวจสอบและเก็บพยานหลักฐาน แต่ได้ปฏิเสธไม่ให้ตำรวจชุดดังกล่าวเข้ามาเก็บหลักฐานเพราะไม่เชื่อถือในการ ทำงานเกรงว่าจะทำให้พยานหลักฐานถูกบิดเบือน อีกทั้งจะไม่แจ้งลงบันทึกกับตำรวจด้วยแต่ได้ประสานให้ทหารกองร้อยลาดตระเวณ ระยะไกลที่ 1 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ชุมนุมเข้ามาเก็บพยานหลักฐานไปตรวจสอบตั้งแต่ เมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นการยิงทดสอบวิถีเท่านั้นซึ่งจากการตรวจสอบกล้องอิน ฟาเรดของพื้นที่ชุมนุมสามารถจับภาพบุคคลต้องสงสัยได้ 3 รายแต่งตัวเป็นไอ้โม่งซุ่มอยู่ตึกร้างใกล้พื้นที่ โดยด้านล่างมีรถตู้ของตำรวจจอดรออยู่ด้วยโดยได้ส่งการ์ดเข้าไปดูตึกร้างที่ อยู่ใกล้กับซอยแจ้งวัฒนะ12 ทั้งนี้คาดว่าวิถีการยิงน่าจะอยู่ในระยะ 350-400 เมตร อย่างไรก็ตามยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่ เข้ามาแฝงตัวก่อนหน้าที่ซึ่งบางคนหลบหนีการล้อมจับไปได้

“อาตมาจะไม่ เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยขึ้นอีกเพราะเท่าที่ประจำการอยู่ถือว่าเต็มที่ แล้วแต่เพื่อปิดช่องโหว่การถูกโจมตีในวันนี้จะระดมผู้ชุมนุมไปถางป่ารกร้าง ด้านข้างพื้นที่ชุมนุมที่ถูกยิงระเบิดเพื่อไม่ให้ใช้เป็นที่ดักซุ่มโจมตี หรือใช้เป็นเส้นทางหลบหนีได้” หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว

สำหรับกรณีที่ ศาลอนุมัติหมายจับข้อหาขัดขวางการเลือกตั้งนั้น หลวงปู่ฯ กล่าวว่า จะต่อสู้คดีด้วยการอุทธรณ์คำสั่งศาลหรือขอผ่อนผันออกไปก่อน

จากนั้นอาจจะฟ้องเจ้าพนักงานฐานไม่ออกหมายเรียกก่อน ส่วนแนวทางการชุมนุมขณะนี้ยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้งกับแกนนำกปปส.หลัก นำโดย นายสุเทพเทือกสุบรรณเลขาธิการกปปส.ที่เดินรับบริจาคเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือ ชาวนาแต่ยอมรับว่าคิดไม่เหมือนกันโดยอาตมามีเป้าหมายใหญ่ที่ชัดเจนและเข้าใจ ว่านายสุเทพมีมวลชนจำนวนมากจำเป็นต้องมีกิจกรรมให้เคลื่อนไหวดังนั้นถือเป็น การแยกกันอยู่แต่รวมกันตีไม่ขอวิจารณ์การเคลื่อนไหวเพียงแต่มองว่าการค่อยๆ เจรจาทำความเข้าใจกับแต่ละกลุ่มจะทำให้สถานการณ์สุกงอมเร็วกว่าการขี่ช้าง ไล่จับตั๊กแตน.